หมอออนไลน์: ผมร่วงจากเชื้อรา (Tinea Capitis หรือ Ringworm of the Scalp)ผมร่วงจากเชื้อราที่หนังศีรษะ มีชื่อทางการแพทย์ว่า Tinea Capitis หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า กลากที่หนังศีรษะ มักเกิดจากการติดเชื้อราในกลุ่ม Dermatophytes ซึ่งเป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่บนผิวหนัง เส้นผม และเล็บ การติดเชื้อนี้พบบ่อยในเด็กเล็กและเด็กวัยเรียน แต่ก็สามารถเกิดกับผู้ใหญ่ได้เช่นกัน
ลักษณะและอาการของผมร่วงจากเชื้อรา
อาการของผมร่วงจากเชื้อราอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อราที่ก่อให้เกิดโรค แต่ลักษณะที่พบบ่อยได้แก่:
ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ: มักเป็นลักษณะเด่นที่สุด โดยผมจะร่วงเป็นวงกลมหรือวงรี ขอบเขตชัดเจน หรืออาจมีหลายหย่อมรวมกัน
หนังศีรษะมีลักษณะผิดปกติ:
เป็นขุย/สะเก็ด: มีขุยสีขาวหรือเหลืองคล้ายรังแค หรือเป็นสะเก็ดหนาที่บริเวณที่ผมร่วง
แดงและอักเสบ: บริเวณที่ติดเชื้ออาจมีรอยแดง บวม และอักเสบ
ตุ่มหนอง/ฝี: ในบางกรณี อาจมีตุ่มหนอง, ฝี, หรือก้อนนูนแดง (Kerion) ที่มีหนองอยู่ภายใน ซึ่งเกิดจากการอักเสบรุนแรง
มีอาการคัน: ผู้ป่วยมักมีอาการคันหนังศีรษะบริเวณที่ติดเชื้อ
เส้นผมเปราะขาดง่าย: เส้นผมบริเวณที่ติดเชื้อมักจะอ่อนแอ เปราะบาง และหักขาดได้ง่ายที่โคนผม ทำให้ดูเหมือนผมถูกโกนหรือถูกตัดสั้น
ผมที่งอกขึ้นมาใหม่ไม่แข็งแรง: หากมีการติดเชื้อเรื้อรัง ผมที่งอกใหม่ในบริเวณนั้นอาจมีลักษณะอ่อนแอ หรือขึ้นช้ากว่าปกติ
การแพร่เชื้อราสู่หนังศีรษะ
เชื้อราแพร่กระจายได้หลายวิธี:
จากคนสู่คน: การใช้หวี หมวก ผ้าขนหนู หรืออุปกรณ์เกี่ยวกับผมร่วมกันกับผู้ติดเชื้อ
จากสัตว์สู่คน: สัตว์เลี้ยง เช่น แมว สุนัข โดยเฉพาะลูกแมวหรือลูกสุนัข อาจเป็นพาหะของเชื้อราได้โดยไม่แสดงอาการชัดเจน
จากสิ่งแวดล้อม: การสัมผัสกับพื้นผิวที่ปนเปื้อนสปอร์ของเชื้อรา (พบน้อยกว่า)
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยผมร่วงจากเชื้อราควรทำโดยแพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญ โดยแพทย์จะ:
ตรวจร่างกาย: ตรวจดูรอยโรคที่หนังศีรษะและเส้นผม
ขูดตรวจหาเชื้อรา (Skin Scraping): ขูดสะเก็ดผิวหนังหรือเส้นผมจากบริเวณที่ติดเชื้อไปส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์
เพาะเชื้อรา (Fungal Culture): อาจนำตัวอย่างไปเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันชนิดของเชื้อรา ซึ่งใช้เวลาหลายสัปดาห์
ใช้แสง Wood's Lamp: ในบางชนิดของเชื้อรา เมื่อส่องด้วยแสง Wood's Lamp บริเวณที่ติดเชื้ออาจเรืองแสงได้
การรักษา
การรักษาผมร่วงจากเชื้อราต้องใช้ ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน เป็นหลัก เนื่องจากเชื้อรามักจะเข้าสู่รูขุมขนและเส้นผมส่วนลึก ซึ่งยาทาภายนอกไม่สามารถเข้าถึงได้เต็มที่:
ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน:
แพทย์จะสั่งยาต้านเชื้อราที่เหมาะสม เช่น Griseofulvin (เป็นยาที่ใช้บ่อยในเด็ก), Terbinafine, Fluconazole, Itraconazole
สำคัญมาก: ต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดและครบกำหนด (ซึ่งอาจนานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน) แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อราถูกกำจัดจนหมดและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
ระหว่างรับประทานยา แพทย์อาจนัดตรวจเลือดเป็นระยะเพื่อติดตามผลข้างเคียงของยาต่อตับ
ยาสระผมต้านเชื้อรา (Antifungal Shampoo):
แพทย์มักจะแนะนำให้ใช้ร่วมกับยาชนิดรับประทาน เพื่อช่วยลดปริมาณเชื้อราบนหนังศีรษะ ลดการแพร่เชื้อ และช่วยเสริมการรักษา
ตัวอย่างเช่น แชมพูที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole หรือ Selenium Sulfide
การดูแลสุขอนามัย:
หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน: เช่น หวี, แปรง, หมวก, ผ้าขนหนู, ปลอกหมอน
ทำความสะอาดของใช้ส่วนตัว: ซักทำความสะอาดผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าขนหนู และทำความสะอาดหวีเป็นประจำ
พาไปพบแพทย์: หากสงสัยว่าสัตว์เลี้ยงในบ้านติดเชื้อรา ควรพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจและรักษา
ข้อควรระวัง:
ไม่ควรซื้อยาต้านเชื้อรามาใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจไม่ตรงกับชนิดของเชื้อ หรือใช้ยาไม่ถูกขนาด/ไม่ครบตามระยะเวลา ทำให้เชื้อไม่หมดไปและอาจเกิดการดื้อยาได้
หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ผมร่วงจากเชื้อราอาจนำไปสู่ภาวะผมร่วงถาวรในบริเวณนั้นได้ หากมีการอักเสบรุนแรงจนทำลายรูขุมขน
ดังนั้น หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการผมร่วงเป็นหย่อม ๆ มีขุย คัน หรือหนังศีรษะอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำและการรักษาที่เหมาะสมทันทีครับ