แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 21
1
หากฟันน้ำนมผุสามารถจัดฟันเด็กได้หรือไม่

 การเกิดฟันผุในเด็กนั้น ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของเด็กไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เพราะฟันของเด็ก จะต้องอยู่กับเด็กไปตลอดชีวิต การที่พ่อแม่ผู้ปกครอง ใส่ใจในเรื่องของฟันของบุตรหลานของท่านนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะเป็นการปลูกฝังให้เด็กรู้จักวิธีการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง แต่ในปัจจุบันนั้น เด็กมีการเกิดฟันผุมาก ซึ่งฟันผุก็สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ฟันน้ำนมผุ

ก็มีผลมาจากการเลี้ยงดูของครอบครัว นอกจากนี้ การเกิดปัญหาฟันน้ำนมผุในเด็ก ยังอาจเกิดได้จากโครงสร้างของฟันเด็กที่ไม่สมบูรณ์ รวมทั้งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กยุคนี้ฟันผุง่ายก็คือ การรับประทานขนมตามใจชอบ แล้วไม่ยอมแปรงฟันนั่นเอง  ประกอบกับการที่พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนมักมีความเชื่อผิดๆ ว่า เดี๋ยวฟันน้ำนมก็ต้องหลุดไป มีฟันแท้มาแทนที่ จึงไม่ได้ใส่ใจการรับประทานขนมและสุขภาพช่องปากและฟันของลูกมากนัก

จึงทำให้ฟันผุได้ง่ายนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่า ปัญหาฟันผุในเด็ก หากไม่ได้รับการรักษาอาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อตัวเด็กในอนาคตได้ และถ้าเด็กเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ไม่ได้ จะต้องส่งผลต่อบุคลิกภาพของเด็กอย่างแน่นอน  ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะดูแลเอาใจใส่ ทั้งในเรื่องของการเลือกรับประทานอาหารและวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันของเด็ก เพื่อให้เด็กลดความเสี่ยงของการเกิดฟันผุได้

ซึ่งในปัจจุบันต้องบอกว่าในวงการทันตกรรมของเรามีนวัตกรรมใหม่เพิ่มขึ้นมามากมายและเด็กก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้แล้ว ซึ่งถือว่ามีประโยชน์มากต่อตัวเด็กในระยะยาว โดยการจัดฟันในเด็กสามารถจัดฟันได้ตั้งแต่เด็กที่มีอายุ4-15 ปี หรือในวัยที่เด็กกำลังมีฟันแท้งอกขึ้นมา การจัดฟันในเด็กก็สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฟันล้ม หรือแม้กระทั่งเด็กที่มีการสบฟันที่ผิดปกติก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันในเด็ก

 พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจจะมีคำถามว่าถ้าหากเด็กมีฟันน้ำนมผุจะสามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้หรือไม่ ซึ่งวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการที่เด็กมีฟันผุและอยากจะเข้ารับการจัดฟันในเด็กว่าจะต้องมีวิธีการอย่างไร ก่อนอื่นพ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจฟันกับทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไขปัญหาต่างๆและจะได้ประเมินช่องปากเบื้องต้น ก่อนเข้ารับการจัดฟันในเด็ก

ซึ่งคำถามก็คือเด็กที่มีฟันน้ำนมผุ สามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้หรือไม่ ข้อนี้ตอบเลยว่าสามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้และเหมาะสมมากเลยทีเดียว เพราะการที่เด็กมีฟันน้ำนมผุและยิ่งถ้าหากสูญเสียฟันน้ำนมก่อนวัยอันควร การจัดฟันในเด็กจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาฟันที่อาจจะงอกขึ้นมาในลักษณะที่มีความผิดปกติได้ ซึ่งการจัดฟันในเด็กจะช่วยทำให้ฟันแท้ สามารถงอกขึ้นมาในตำแหน่งที่เหมาะสมได้

ช่วยลดปัญหาเกี่ยวกับฟันซ้อนเก หรือภาวะฟันแท้หายที่เกิดจากการที่ฟันน้ำนมหลุดก่อนวัยอันควร ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ต้องกังวลว่าบุตรหลานของท่านจะมีฟันน้ำนมผุจนไม่สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ ซึ่งข้อนี้บอกเลยว่า เด็กที่มีฟันน้ำนมผุและหลุดก่อนวัยอันควรเหมาะสมมากที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็กเพื่อที่จะทำให้เด็กมีฟันแท้ที่งอกออกมาครบ 32 ซี่และยังช่วยแก้ไขปัญหาฟันในเรื่องต่างๆได้อีกด้วย ซึ่งก็จะทำให้เด็กมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่เด็ก มีรอยยิ้มที่สดใส สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่และยังช่วยเสริมสร้างในเรื่องของพัฒนาการของเด็กได้เป็นอย่างดี

  ดังนั้น หากเด็กมีปัญหาฟันผุหรือความผิดปกติที่เกี่ยวกับรูปร่างฟัน ก็ควรพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อให้เด็กเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้เด็ก มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อยได้ หากใครสนใจ พาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก หรือเข้าตรวจฟันเบื้องต้น ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพื่อที่จะได้ให้เด็กมีสุขขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรงตั้งแต่เนิ่นๆ ลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาสุขภาพฟัน และยังช่วยทำให้เด็กได้ทีพัฒนาการที่ดีขึ้น มีรอยยิ้มที่สดใส สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

2
พูดคุยเรื่องทั่วไป / หมอประจำบ้าน: แผลแอฟทัส (Apthous ulcers)
« เมื่อ: วันที่ 20 พฤศจิกายน 2024, 15:07:48 น. »
หมอประจำบ้าน: แผลแอฟทัส (Apthous ulcers)

แผลแอฟทัส* เป็นสาเหตุของอาการแผลเปื่อยในปากที่พบได้บ่อยที่สุดในคนทั่วไป

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย พบบ่อยในกลุ่มวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มักเป็น ๆ หาย ๆ เป็นประจำโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากสร้างความรำคาญ เมื่ออายุมากขึ้นจะเป็นห่างออกไปเรื่อย ๆ บางรายอาจหายขาดเมื่ออายุมาก

*มีชื่อเรียกอื่น เช่น canker sore, ulcerative stomatitis, recurrent aphthous stomatitis ชาวบ้านมักเรียกว่า แผลร้อนใน

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน และอาจมีความสัมพันธ์กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (เช่น ภูมิคุ้มกันต่ำ การแพ้สารบางอย่าง การเกิดปฏิกิริยาภูมิต้านตนเองหรือออโตอิมมูน)

พบว่าร้อยละ 40 ของผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบบ่อย จะมีประวัติโรคนี้ในครอบครัว สันนิษฐานว่าส่วนหนึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ อีกส่วนหนึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกัน (เช่น อาหาร สิ่งกระตุ้นให้โรคกำเริบ)

ผู้ป่วยที่เกิดแผลแอฟทัส อาจพบว่ามีสิ่งกระตุ้นให้อาการกำเริบ อาทิ

    ความเครียด เช่น ขณะคร่ำเคร่งกับงาน หรืออ่านหนังสือสอบ อดนอน
    การได้รับบาดเจ็บในช่องปาก เช่น เยื่อบุปากหรือลิ้นถูกกัดหรือถูกแปรงสีฟัน ฟันปลอม หรืออาหารแข็ง ๆ กระทบกระแทก
    การมีประจำเดือน
    การใช้ยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่เจือปนสารลดแรงตึงผิว (มีคุณสมบัติในการทำความสะอาดและเกิดฟอง) เช่น sodium lauryl sulfate,  sodium lauroyl sarcosinate
    การแพ้อาหาร เช่น แป้งข้าวสาลี ไข่ นมวัว เนยแข็ง กาแฟ โคล่า ช็อกโกแลต อาหารที่มีรสเค็ม รสเผ็ด ของเปรี้ยวหรือผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรด (เช่น ส้ม ส้มโอ สับปะรด สตรอเบอร์รี่ มะเขือเทศ เป็นต้น)
    การแพ้แบคทีเรียบางชนิดที่มีอยู่ในช่องปาก
    การใช้ยา เช่น แอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยารักษาโรคกระดูกพรุน-อะเลนโดรเนต (alendronate)
    ภาวะขาดธาตุเหล็ก สังกะสี กรดโฟลิก หรือวิตามินบี 12
    ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น โรคเอดส์ ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ
    การป่วยเป็นโรคบางชนิด เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (inflammatory bowel disease/IBD)*
    การเลิกบุหรี่ อาจกระตุ้นให้เกิดแผลแอฟทัสในบางรายที่เลิกบุหรี่ใหม่ ๆ

*โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (inflammatory bowel disease/IBD) ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

โรคนี้พบว่ามีการอักเสบของเยื่อบุลำไส้ ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเองหรือออโตอิมมูน (autoimmune) ถ้ามีการอักเสบจำกัดอยู่เฉพาะในลำไส้ใหญ่ เรียกว่า "โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง (ulcerative colitis)" ถ้ามีการอักเสบที่จุดใดจุดหนึ่งหรือหลายจุดของทางเดินอาหารตลอดแนวตั้งแต่ปากจนถึงทวารหนัก เรียกว่า "โรคโครห์น (Crohn’s disease)"

ผู้ป่วยมักมีอาการกำเริบเป็นครั้งคราว เป็น ๆ หาย ๆ อย่างเรื้อรัง ด้วยอาการปวดท้อง ท้องเดิน อุจจาระมีเลือดหรือมูกปน และอาจมีอาการถ่ายเป็นเลือด (เนื่องจากมีแผลที่ลำไส้ ทำให้มีเลือดออก) ซีด (จากการเสียเลือด) มีไข้ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดร่วมด้วย


อาการ

อาการที่สำคัญคือ มีแผลเจ็บในช่องปาก ซึ่งอาจพบที่ริมฝีปาก (ด้านใน) กระพุ้งแก้ม ลิ้น (ด้านข้าง/ด้านใต้) เพดานอ่อน ลิ้นไก่ ผนังคอหอย ทอนซิล หรือพื้นปาก (เนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ลิ้นและเหงือก) ส่วนใหญ่จะมีเพียงแผลเดียว บางรายอาจมีหลายแผลเกิดขึ้นพร้อมกัน

ในรายที่มีแผลที่บริเวณผนังคอหอย/ทอนซิล จะมีอาการเจ็บคอเพียงจุดเดียวหรือข้างเดียว (ซึ่งผู้ป่วยสามารถระบุตำแหน่งได้) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะรู้สึกเจ็บมากเวลากลืนหรือพูด ทำให้กลืนหรือพูดลำบาก และอาจมีอาการปวดร้าวไปที่หูข้างเดียวกันเวลากลืน

อาการเจ็บแผลมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งค่อย ๆ เจ็บมากขึ้นทุกวันในช่วง 3-4 วันแรก หลังจากนั้นจะทุเลาลงไปเอง 

บางรายอาจพบว่ามีอาการเกิดขึ้นเวลามีสิ่งกระตุ้น (เช่น ความเครียด การอดนอน การมีประจำเดือน การเผลอกัดถูกริมฝีปาก/กระพุ้งแก้ม/ลิ้น หรือถูกแปรงสีฟันกระแทก การใช้ยาสีฟันหรือยาบางชนิด การกินอาหารหรือผลไม้บางชนิด เป็นต้น) หรืออาจอยู่ดี ๆ ก็กำเริบขึ้นโดยไม่ทราบว่ามีอะไรเป็นสิ่งกระตุ้นก็ได้

บางรายอาจมีความรู้สึกแสบร้อน หรือเสียวซ่าในปาก 1-2 วันก่อนมีแผลเกิดขึ้น

ในช่วงที่มีอาการเจ็บแผล จะรู้สึกปวดหรือเจ็บแสบเวลากินอาหารแข็ง ๆ หรืออาหารรสเค็ม เผ็ดหรือเปรี้ยวจัด ถ้าเป็นแผลขนาดใหญ่ อาจเจ็บมากจนกินอาหาร ดื่มน้ำ และพูดได้ลำบาก 

หลังมีอาการกำเริบได้ 3-4 วัน อาการจะค่อย ๆ ทุเลาลงและมักจะหายเป็นปกติได้เองใน 1-2 สัปดาห์ เมื่อเว้นไปสักระยะหนึ่ง อาจนานเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ หรือมากกว่านั้น ก็อาจจะมีอาการกำเริบอีก และมักจะเป็น ๆ หาย ๆ แบบนี้อยู่เรื่อยไป   

บางรายที่เป็นแผลแอฟทัสชนิดรุนแรง อาจมีไข้ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณข้างคอหรือใต้คางบวม ซึ่งเป็นอาการที่พบได้น้อยมาก


ภาวะแทรกซ้อน

ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรืออันตรายอะไร นอกจากสร้างความเจ็บปวด กินและพูดลำบากชั่วคราว

สำหรับผู้ที่มีแผลแอฟทัสขนาดใหญ่ อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งมีโอกาสพบได้น้อยมาก

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

สิ่งตรวจพบที่สำคัญ คือ แผลในปาก ซึ่งมีหลายลักษณะ* ส่วนใหญ่เป็นแผลแอฟทัสเล็ก

ส่วนน้อยเป็นแผลแอฟทัสใหญ่ หรือแผลแอฟทัสชนิดคล้ายเริม

ในรายที่เป็นรุนแรง อาจตรวจพบไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณข้างคอหรือใต้คางบวม หรือแผลติดเชื้อแบคทีเรีย

*แผลแอฟทัสมีอยู่ 3 ชนิดได้แก่

1.  แผลแอฟทัสเล็ก (minor aphthous ulcers) ซึ่งพบได้มากกว่าร้อยละ 80 จะเป็นแผลตื้นลักษณะรูปไข่ ขนาด 3-5 มม. (ไม่เกิน 1 ซม.) มีวงสีแดงอยู่โดยรอบ ขอบแผลอาจบวมเล็กน้อย พื้นแผลมีสีขาวหรือเหลือง และกลายเป็นสีเทาเมื่อใกล้หาย มักพบที่บริเวณริมฝีปาก (ด้านใน) กระพุ้งแก้ม ลิ้น (ด้านข้างและด้านใต้) เพดานอ่อน ลิ้นไก่ ผนังคอหอย ทอนซิล หรือพื้นปาก (เนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ลิ้นและเหงือก) มักไม่พบที่เหงือก เพดานแข็ง และลิ้น (ด้านบน) อาจเป็นเพียงแผลเดียว หรือหลายแผล (2-5 แผล) พร้อมกัน มีอาการเจ็บปวดไม่รุนแรง และหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่เป็นแผลเป็น อาจกำเริบได้ทุก 1-4 เดือน

2. แผลแอฟทัสใหญ่ (major aphthous ulcers) พบได้ประมาณร้อยละ 10-15 มีลักษณะคล้ายกับแผลแอฟทัสเล็ก แต่แผลมีลักษณะลึกกว่า มีขนาดมากกว่า 1 ซม.ขึ้นไป ขอบแผลบวม และมีอาการเจ็บปวดรุนแรงกว่า (มักจะรู้สึกเจ็บมากเวลากินอาหารหรือดื่มน้ำ ถ้าขึ้นที่เพดานอ่อน จะรู้สึกเจ็บมากเวลากลืน) แผลมีลักษณะรูปวงกลม อาจขึ้นเพียงแผลเดียว หรือเป็น 2 แผลคู่กัน นอกจากพบในตำแหน่งเดียวกับแผลแอฟทัสเล็กแล้ว ยังอาจพบที่เพดานแข็งและลิ้น (ด้านบน) ได้อีกด้วย แผลมักหายช้า (ใช้เวลาประมาณ 2-6 สัปดาห์) และเป็นแผลเป็น อาจกำเริบได้บ่อยมาก บางครั้งอาจพบในผู้ป่วยเอดส์

3. แผลแอฟทัสชนิดคล้ายเริม (herpetiform ulceration) ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเริม พบได้ประมาณร้อยละ 5-10 จะพบในกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่ากลุ่มคนที่เป็นแผลแอฟทัส 2 ชนิดข้างต้น พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แรกเริ่มจะขึ้นเป็นตุ่มใสเล็ก (1-2 มม.) นับเป็น 10-100 ตุ่ม แล้วแตกแผ่รวมเป็นแผลเดียวขนาดใหญ่ (คล้ายแผลแอฟทัสใหญ่) ขอบแผลไม่เรียบ มีอาการเจ็บปวดค่อนข้างรุนแรง พบในตำแหน่งต่าง ๆ แบบเดียวกับแผลแอฟทัสใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ข้างลิ้นหรือใต้ลิ้นมักพบได้บ่อย แผลหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่เป็นแผลเป็น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. แนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย ในการดูแลตนเอง และการป้องกันไม่ให้แผลกำเริบบ่อย ในรายที่มีอาการปวดมากให้ยาบรรเทาปวด เช่น พาราเซตามอล และแพทย์อาจพิจารณาใช้ยาชนิดใดชนิดหนึ่งต่อไปนี้ ป้ายแผลวันละ 2-4 ครั้ง จนกว่าจะทุเลา

    ครีมสเตียรอยด์ชนิดป้ายปาก เช่น ครีมป้ายปากไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์ (บรรเทาปวดและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น)
    ยาชา เช่น เจลลิโดเคน (lidocaine) ชนิด 2% (บรรเทาปวด)

2. ในรายที่ให้ดูแลรักษาข้างต้นไม่ได้ผล มีอาการรุนแรง แผลไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย (เช่น ซีดหรือโลหิตจาง ปวดท้องบ่อย ท้องเดินเรื้อรัง มีไข้เรื้อรัง น้ำหนักลดฮวบ) แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ใช้กล้องส่องตรวจทางเดินอาหาร ตรวจชิ้นเนื้อ (โดยตัดเนื้อเยื่อจากแผลไปส่งตรวจ) เป็นต้น ให้การรักษาตามสาเหตุและความรุนแรง เช่น ให้ยาปฏิชีวนะในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน, ให้ยาบำรุงโลหิตในรายที่มีโลหิตจางจากภาวะขาดเหล็ก, ให้กรดโฟลิกหรือวิตามินบี 12 หรือสังกะสีในรายที่ขาด, รักษาโรคที่ตรวจพบ (เช่น เอดส์ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง) เป็นต้น

หากไม่มีภาวะผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย และให้การรักษาดังข้อที่ 1 ไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณาให้ยาสเตียรอยด์ (เช่น เพร็ดนิโซโลน) กินระยะสั้น ๆ เพื่อลดการอักเสบ ยานี้แพทย์จะใช้เท่าที่จำเป็น เนื่องเพราะใช้พร่ำเพรื่อหรือนาน ๆ มีผลข้างเคียงมากและอาจเกิดอันตรายได้

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักจะหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์โดยไม่ต้องใช้ยา (นอกจากยาบรรเทาปวดในรายที่ปวดมาก) แต่มักจะมีอาการกำเริบได้บ่อย โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ 

ส่วนน้อยที่อาจมีความรุนแรง (ซึ่งการให้ยาบรรเทาอาการเพียงอย่างเดียวไม่ได้ผล) หรือมีโรค/ภาวะผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งจำเป็นต้องให้การรักษาควบคู่ไปด้วย


การดูแลตนเอง

1. ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อย หรือเคยรักษาแผลแอฟทัสมาก่อน และมีความมั่นใจในการดูแลตนเอง ควรปฏิบัติ ดังนี้

    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    หลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายแผล เช่น อาหารเผ็ดหรือเปรี้ยวจัด อาหารแข็ง
    กลั้วปากด้วยน้ำเกลือ (ผสมเกลือ 1 ช้อนชา หรือ 5 มล. ในน้ำ 1 แก้ว) วันละ 2-3 ครั้ง
    ถ้าปวดให้อมน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ดื่มน้ำเย็น
    ถ้าปวดมากให้กินพาราเซตามอล* และ/หรือใช้ยาป้ายแผลในปากตามที่แพทย์แนะนำ

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้สูง อ่อนล้า ซีด หรือน้ำหนักลดร่วมด้วย หรือมีอาการปวดท้องและท้องเดิน เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง
    ปวดแผลรุนแรง กินยาบรรเทาปวดไม่ได้ผล
    กินอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้ หรือมีภาวะขาดน้ำ
    แผลมีขนาดใหญ่ หรือขึ้นพร้อมกันหลายแผล
    มีอาการเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย
    มีประวัติการแพ้ยา สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือมีโรคตับ โรคไต หรือประจำตัวอื่น ๆ ที่มีการใช้ยา หรือแพทย์นัดติดตามการรักษาอยู่เป็นประจำ
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    ดูแลตนเอง 3-4 วันแล้วอาการปวดไม่ทุเลา
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

2. ถ้าสงสัยว่ามีอาการรุนแรง หรือไม่มั่นใจที่ดูแลตนเองตั้งแต่แรกควรไปพบแพทย์ เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นแผลแอฟทัส ควรดูแลตนเองดังนี้

    กินยาตามและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด
    ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้าลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
    - กินอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้ หรือมีภาวะขาดน้ำ
    - ใช้ยาที่แพทย์แนะนำ 3-4 วันแล้วอาการปวดไม่ทุเลา หรือกลับมีอาการปวดมากขึ้น หรือมีไข้ขึ้น
    - มีอาการที่สงสัยว่าแพ้ยา เช่น ลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ


การป้องกัน

ผู้ที่เคยเป็นแผลแอฟทัส ควรป้องกันไม่ให้แผลกำเริบบ่อยโดยปฏิบัติตัว ดังนี้

1. หมั่นออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และผ่อนคลายความเครียด

2. กินอาหารให้ครบทุกหมู่ (ได้สารอาหาร วิตามิน และเกลือแร่ครบถ้วน) และกินผัก ผลไม้ และธัญพืชให้มาก ๆ

3. หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้หรือกระตุ้นให้เกิดแผลแอฟทัส

4. ดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันให้สะอาด โดยการแปรงฟันหลังกินอาหารทุกครั้ง และใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้ง อย่าให้มีเศษอาหาร (ที่อาจกระตุ้นให้แผลกำเริบ) ค้างคา ควรใช้แปรงสีฟันขนาดเล็กและขนนุ่มเพื่อไม่ให้ปากถูกกระทบกระแทก

ควรไปตรวจช่องปากและฟันกับทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูแลรักษาฟันให้ดี (เช่น การแก้ไขฟันที่มีความแหลมคม การดูแลฟันปลอม) ไม่ให้เกิดการกระทบต่อช่องปากให้เกิดแผลแอฟทัส

5. ไม่ใช้ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากที่เจือปนสาร sodium lauryl sulfate หรือ sodium lauroyl sarcosinate


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ไม่ใช่โรคติดต่อ สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ตามปกติ

2. ควรแยกแผลแอฟทัสออกจากเริมในช่องปากชนิดกำเริบซ้ำ ซึ่งมักจะขึ้นเป็นแผลเดียวที่เหงือกหรือเพดานแข็ง และอาจมีไข้ร่วมด้วย ทั้ง 2 โรคนี้สามารถให้การรักษาตามอาการก็หายได้เอง อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่แน่ใจควรหลีกเลี่ยงการใช้ครีมสเตียรอยด์ที่ใช้ป้ายแผลแอฟทัสในปาก เพราะถ้าเป็นเริมอาจทำให้โรคลุกลามได้

3. ในผู้หญิง แผลแอฟทัสมักกำเริบเวลามีประจำเดือน (ซึ่งอาจป้องกันได้ด้วยการกินยาเม็ดคุมกำเนิด) และขณะตั้งครรภ์มักจะไม่มีอาการกำเริบจนกว่าจะคลอด

4. ผู้ป่วยแผลแอฟทัสส่วนใหญ่มักมีอาการเพียงเล็กน้อย และหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์ ซึ่งสามารถดูแลตนเองได้ อย่างไรก็ตาม ก็ควรเฝ้าสังเกตตัวเอง หากมีอาการผิดสังเกต รู้สึกมีอาการที่รุนแรง หรือรักษาตัวเองแล้วไม่ทุเลา ก็ควรไปพบแพทย์

5. ในรายที่เป็นแผลแอฟทัสใหญ่ (มากกว่า 1 ซม.) หรือเป็นรุนแรงหรือเรื้อรัง ควรตรวจหาสาเหตุ บางรายอาจพบร่วมกับโรคเอดส์ ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ หรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) ในรายที่เป็นแผลนานเกิน 3 สัปดาห์ อาจเป็นอาการแสดงของมะเร็งช่องปากระยะแรกก็ได้

6. ผู้ที่เป็นแผลแอฟทัสบ่อย บางรายอาจมีโรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune diseases) เกิดขึ้นในเวลาต่อมาได้ เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง เอสแอลอี คอพอกเป็นพิษ เป็นต้น หากมีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น เหนื่อยง่าย น้ำหนักลดฮวบ ไข้เรื้อรัง ปวดข้อนิ้วมือนิ้วเท้าเรื้อรัง ปวดหลังเรื้อรัง เป็นต้น ก็ควรไปพบแพทย์

3
รถยนต์ไฟฟ้า นิสสันเตรียมเปิดตัวเทคโนโลยี Vehicle-to-Grid ที่สามารถเป็นเจ้าของได้ในปี 2026

นิสสัน ประกาศเปิดตัวระบบชาร์จแบบสองทิศทางในราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นในปี 2026 โครงการนี้สานต่อความมุ่งมั่นใน The Arc ซึ่งเป็นแผนธุรกิจของนิสสัน ที่จะส่งมอบนวัตกรรมที่แตกต่างอันจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งนำเสนอช่องทางสร้างรายได้ใหม่ ๆ นอกจากนี้ โครงการฯ ยังสนับสนุนวิสัยทัศน์ระยะยาวของบริษัทหรือ Ambition 2030 เพื่อสร้างโลกที่สะอาดมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น และครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
 
เทคโนโลยีการใช้พลังงานไฟฟ้าจากรถยนต์กลับเข้าสู่ระบบจ่ายไฟฟ้าหรือ Vehicle-to-grid (V2G) ช่วยให้เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าสามารถใช้ไฟฟ้าที่เก็บไว้ในแบตเตอรี่รถยนต์เพื่อจ่ายไฟให้บ้านหรือขายกลับเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าได้

รถยนต์ไฟฟ้าที่ติดตั้งเทคโนโลยี V2G สามารถมีบทบาทสำคัญในการบูรณาการ และเพิ่มการผสมผสานพลังงานที่สามารถหมุนเวียนได้ใหม่ให้เข้ากับแหล่งพลังงานโดยการกักเก็บพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากลมหรือแสงอาทิตย์ และส่งพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าหรือ Grid เมื่อจำเป็น ช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงจากฟอสซิล

ฮิวจ์ เดสมาร์เชลิเยร์ รองประธานฝ่ายระบบนิเวศน์ยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลกของนิสสัน (Hugues Desmarchelier, vice president of Nissan’s global electrification ecosystem & EV programs) กล่าวว่า “เทคโนโลยีนี้ที่เราจะนำเสนอให้กับลูกค้าถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนแนวคิดของเราเกี่ยวกับ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งไม่ใช่แค่เป็นการเดินทางจากจุด A ไปยังจุด B เท่านั้น แต่ยังเป็นหน่วยจัดเก็บพลังงานเคลื่อนที่ ที่ช่วยประหยัดเงินให้กับผู้คน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้เราเข้าใกล้อนาคตที่ปลอดคาร์บอนมากยิ่งขึ้น”

โครงการนี้เกิดจากประสบการณ์อันยาวนานของนิสสัน ในเทคโนโลยี V2G โดยมีโครงการนำร่องทั้งหมดประมาณ 40 โครงการที่ดำเนินการในตลาดต่างๆ ทั่วโลกตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

หลังจากการทดลองใช้ที่ประสบความสำเร็จเป็นเวลาหนึ่งปีที่มหาวิทยาลัยน็อตติงแฮม สหราชอาณาจักร    นิสสันได้กลายเป็นบริษัทผลิตรถยนต์แห่งแรกที่ได้รับการรับรองรหัส G99 Grid* พร้อมโซลูชันที่ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ** ซึ่งใบรับรอง G99 ช่วยให้ผู้ที่ได้รับการรับรองสามารถจ่ายไฟฟ้ากลับให้กับแหล่งพลังงานแห่งชาติของสหราชอาณาจักรได้***
 
การทดลองครั้งนี้ยังให้โอกาสอันมีค่าในการตรวจสอบระบบสองทิศทางที่ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับและไฟฟ้ากระแสตรงที่ปรับขนาดได้ และรวมถึงได้รับคำติชมจากลูกค้าเพื่อการปรับปรุงการบริการที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต
 
ภายใต้ชื่อบริษัท Nissan Energy บริษัทมีเป้าหมายที่จะเปิดตัวเทคโนโลยีการใช้พลังงานไฟฟ้าจากรถยนต์กลับเข้าสู่ระบบจ่ายไฟฟ้าหรือ V2G ในสหราชอาณาจักรก่อน จากนั้นจึงตามด้วยตลาดอื่นๆ ในยุโรป โดยให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการใช้โซลูชัน V2G ที่ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับหรือไฟฟ้ากระแสตรง ซึ่งสอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐานและข้อกำหนดด้านกฎระเบียบในแต่ท้องถิ่นได้

ในฐานะหนึ่งในระบบสองทิศทางที่นิสสัน วางแผนที่จะนำเสนอ ระบบสองทิศทางไฟฟ้ากระแสสลับที่ผ่านการรับรองในสหราชอาณาจักรนี้จะใช้เครื่องชาร์จในตัวเพื่อให้ต้นทุนในการเข้าถึงสามารถจับต้องได้ ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้มากขึ้น โดยนิสสันมีเป้าหมายที่จะนำเสนอเครื่องชาร์จไฟฟ้าสองทิศทางแบบกระแสสลับในราคาที่เทียบได้กับเครื่องชาร์จไฟฟ้าทิศทางเดียวที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน ****
 
ซึ่งนอกจากจะลดต้นทุนในการเข้าถึงแล้ว ระบบการใช้พลังงานไฟฟ้าจากรถยนต์กลับเข้าสู่ระบบจ่ายไฟฟ้า (V2G) ของ นิสสันยังช่วยให้ลูกค้าควบคุม และมีความยืดหยุ่นในการใช้พลังงานของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ผ่านแอปพลิเคชันอีกด้วย
 
การเปิดตัวนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของนิสสัน ในการสร้างระบบนิเวศพลังงานแบบบูรณาการอย่างสมบูรณ์ โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นอย่างยั่งยืน นั้นให้การขนส่งที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ชาร์จด้วยพลังงานสะอาด และสามารถจ่ายไฟให้กับบ้านเรือน และโครงข่ายไฟฟ้าได้

หมายเหตุ
* อ้างอิงตามข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2024
** ใบรับรอง AC จากรหัสกริด G99 ของสหราชอาณาจักรโดย TUV Rheinland
*** ขึ้นอยู่กับกฎระเบียบในอนาคต
**** ราคาสำหรับฮาร์ดแวร์ ไม่รวมค่าติดตั้ง
 

4
พูดคุยเรื่องทั่วไป / ตรวจอาการโรคพยาธิตัวจี๊ด (Gnathostomiasis)
« เมื่อ: วันที่ 18 พฤศจิกายน 2024, 14:35:21 น. »
ตรวจอาการโรคพยาธิตัวจี๊ด (Gnathostomiasis)

โรคพยาธิตัวจี๊ดเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิตัวจี๊ด*

พบได้บ่อยในผู้ที่มีประวัติชอบกินกุ้งหรือปลาน้ำจืด กบ เขียด ปู งู นก เป็ด ไก่ หนู หรือเนื้อสัตว์ดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ

*วงจรชีวิตของพยาธิตัวจี๊ด

ตัวจี๊ด (Gnathostoma spinigerum) โดยปกติพยาธิตัวเต็มวัย (ตัวแก่) จะอาศัยอยู่ในโพรงของก้อนทูมของกระเพาะอาหารของแมวและสุนัข ไข่พยาธิจะออกมาทางรูที่ติดต่อกับกระเพาะอาหาร และออกไปกับมูลของสัตว์เหล่านี้ ไข่จะเจริญและฟักเป็นพยาธิตัวอ่อนระยะที่ 1 ในน้ำ ซึ่งจะถูกกุ้งไร (cyclops) กิน แล้วเจริญต่อไปเป็นตัวอ่อนระยะที่ 2 ในกุ้งไร เมื่อสัตว์น้ำจืด สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์มีปีก หรือหนูกินกุ้งไร ตัวอ่อนของพยาธิก็จะเจริญต่อไปเป็นตัวอ่อนระยะที่ 3 ซึ่งเป็นระยะติดต่อ อาศัยอยู่ในกล้ามเนื้อของสัตว์เหล่านี้ ซึ่งถ้าถูกแมวหรือสุนัขกินเข้าไป ก็จะเจริญเป็นตัวแก่อาศัยอยู่ในก้อนทูมของกระเพาะอาหาร แต่ถ้าคนกินตัวอ่อนระยะที่ 3 ในสัตว์น้ำจืด สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์มีปีกหรือหนู พยาธิตัวอ่อนระยะที่ 3 ก็จะไม่อยู่ที่กระเพาะ แต่จะคืบคลานไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ใต้ผิวหนัง ช่องท้อง ปอด ตา หู สมอง ไขสันหลัง เป็นต้น ทำให้เกิดการอักเสบและเสียหายตามอวัยวะต่าง ๆ ได้


สาเหตุ

การติดต่อของโรคนี้เกิดจากการกินตัวอ่อนพยาธิตัวจี๊ดระยะติดต่อ ที่พบในกุ้งหรือปลาน้ำจืด กบ เขียด ปู งู นก เป็ด ไก่ หนู หรือเนื้อสัตว์ดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ


อาการ

ส่วนใหญ่จะพบว่าเป็นรอยบวมแดง ๆ ตึง ๆ ตามผิวหนัง อาจมีอาการคันหรือปวดจี๊ด ๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะแห่ง อาจเป็นส่วนไหนของร่างกายก็ได้ รอยบวมนี้จะมีขนาดไม่แน่นอน และเลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ เช่น บวมที่มือ แล้วค่อย ๆ เลื่อนไปที่แขน ไหล่ ปาก หน้า ตา จะบวมแห่งหนึ่งอยู่ 3-10 วัน (ชาวบ้านบางแห่งเรียกว่า โรคลมเพลมพัด) บางครั้งอาจมีไข้ขึ้น นอกจากนี้อาจมีอาการอื่น ๆ ตามลักษณะการไชตัวของพยาธิ เช่น

ถ้าตัวจี๊ดไชเข้าไขสันหลัง จะมีอาการปวดเสียวมากตามแขนขา แขนขาจะเป็นอัมพาต ปัสสาวะไม่ออก และท้องผูก

ถ้าตัวจี๊ดไชขึ้นสมอง จะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน คอแข็ง ซึม หมดสติ อาจถึงเสียชีวิตได้

ถ้าตัวจี๊ดไชเข้าลูกตา อาจทำให้ตาอักเสบ และตาบอดได้

ถ้าไชเข้าหู ทำให้ปวดหูอย่างมาก

ถ้าไชเข้าปอด ทำให้ปอดอักเสบ ปอดทะลุ มีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด หรือไอออกเป็นเลือด

ถ้าไชเข้าท้อง ทำให้มีก้อนในท้องเลื่อนที่ได้ อาจเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง หรือปวดคล้ายไส้ติ่งอักเสบได้


ภาวะแทรกซ้อน

เกิดการอักเสบและการทำลายของอวัยวะต่าง ๆ ที่ตัวจี๊ดไชผ่าน

แต่ถ้าไชเข้าอวัยวะสำคัญ เช่น ตา (ทำให้ตาบอด), ปอด (ทำให้ปอดอักเสบ ปอดทะลุ), ไขสันหลัง (ทำให้เป็นอัมพาต)

ถ้าไชเข้าสมอง อาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ และจะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการเจาะเลือด (พบจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิดอีโอซิโนฟิล* ขึ้นสูง) ทำการทดสอบทางน้ำเหลือง (serologic test) เพื่อตรวจหาสารภูมิต้านทานต่อตัวจี๊ด และถ้าสงสัยตัวจี๊ดเข้าไขสันหลังหรือสมอง อาจต้องเจาะหลัง

*อีโอซิโนฟิล (eosinophil) เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ซึ่งปกติจะมีอยู่ประมาณร้อยละ 1-6 ของจำนวนเม็ดเลือดขาวทุกชนิดที่อยู่ในกระแสเลือด ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคพยาธิต่าง ๆ อาจมีอีโอซิโนฟิลขึ้นสูงถึงร้อยละ 20-80


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาแก้ปวด ยาแก้แพ้ และให้ยาฆ่าพยาธิ-อัลเบนดาโซล

2. ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง จะรับตัวไว้รักษาตัวในโรงพยาบาล และให้การแก้ไขตามอาการที่พบ

ถ้าตัวจี๊ดขึ้นมาอยู่ที่ผิวหนัง อาจรักษาด้วยการผ่านำตัวพยาธิออกมา

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีรอยบวมแดง ๆ ตึง ๆ ตามผิวหนัง มีขนาดไม่แน่นอนและเลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคพยาธิตัวจี๊ด ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดหู ปวดตา ตามัว ตาบอด หายใจหอบ ปวดท้องมาก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซึม หรือไม่ค่อยรู้สึกตัว
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ก้อย ยำ ส้มฟัก หรือการย่างที่ไม่สุกเต็มที่ โดยเฉพาะที่ทำจากกุ้ง ปลาน้ำจืด กบ เขียด ปู งู นก เป็ด ไก่ หนู เป็นต้น
    ดื่มน้ำสุกหรือน้ำสะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อพยาธิตัวจี๊ดที่ตกปนอยู่ในน้ำ
    ล้างอุปกรณ์ (เช่น เครื่องบดเนื้อ มีด เขียง) ที่ใช้เตรียมเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ให้สะอาด ป้องกันไม่ให้มีตัวพยาธิเปรอะเปื้อน
    ป้องกันตัวจี๊ดไชเข้ามือด้วยการล้างมือด้วยสบู่หลังเตรียมอาหารเนื้อสัตว์ ถ้าเป็นไปได้ควรใส่ถุงมือเวลาเตรียมอาหารประเภทนี้

ข้อแนะนำ

โรคนี้มักมีอาการบวมแดงที่ผิวหนัง และรักษาให้หายได้เป็นส่วนใหญ่ มีเพียงส่วนน้อยที่ตัวจี๊ดอาจไชเข้าอวัยวะสำคัญ ทำให้เกิดอันตรายได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคตัวจี๊ดที่ผิวหนัง ควรเฝ้าระวังดูอาการอย่างใกล้ชิด ถ้ามีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าตัวจี๊ดอาจไชเข้าอวัยวะสำคัญ ก็ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

ข้อสำคัญควรป้องกันไม่ให้รับอันตรายจากโรคนี้ด้วยการไม่กินเนื้อสัตว์ทุกชนิดแบบดิบ ๆ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ

5
พูดคุยเรื่องทั่วไป / คอนโดใหม่ 2024: เวย์ อมตะ (Vay Amata)
« เมื่อ: วันที่ 17 พฤศจิกายน 2024, 14:49:23 น. »
คอนโดใหม่ 2024: เวย์ อมตะ (Vay Amata)
เริ่มต้น 0.999 ลบ. 

เวย์ อมตะ (Vay Amata)
คอนโดใกล้นิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี เริ่มไม่ถึงล้าน แต่งครบ ซื้อคุ้มกว่าเช่า สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ฟิตเนส สระว่ายน้ำ พื้นที่นั่งทำงาน สวนส่วนกลาง ใกล้นิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี เพียง 1 นาที

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ            เวย์ อมตะ (Vay Amata)
 เจ้าของโครงการ       แสนสิริ
 แบรนด์ย่อย             เวย์
 ราคา                    เริ่มต้น 0.999 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล            คอนโดในเมือง
 ความสูงคอนโด          Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี        1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี           ตั้งแต่ 23.50 ถึง 43.25 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด            4 ไร่
 จำนวนตึก               2 อาคาร
 จำนวนชั้น              8 ชั้น
 จำนวนห้อง             552 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด       ประมาณ 31%
 ค่าบำรุงส่วนกลาง     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค         สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, อื่นๆ (จุดบริการชาร์จแบตเตอรีรถยนต์พลังงานไฟฟ้า), สวนหย่อม, Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน        พานทอง
 ที่ตั้ง        ถ.บ้านเก่า ต.บ้านเก่า อ.พานทอง จ.ชลบุรี 20160

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ตลาดรัตนากร
ตลาดนินจา
มินิบิ๊กซี อมตะ
โลตัส อมตะนคร
อมาติโอ ชิลล์ ปาร์ค
โฮมโปร อมตะนคร
แจสวิลเลจ อมตะ
รร.นานาชาติสิรศาสตร์ศึกษา อมตะ
รร.สาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชลบุรี
ม.ศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี
รพ.พานทอง
รพ.จุฬารัตน์ ชลเวช

 ปีที่สร้างเสร็จ        2024

6
ซ่อมบำรุงอาคาร: สัญญาณที่บ่งชี้ว่า แอร์บ้านคุณกำลังจะพัง

ในช่วงหน้าร้อน คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เครื่องปรับอากาศ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นสำหรับใครหลายคน เพราะยิ่งอากาศร้อนมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้เราหงุดหงิด อารมณ์เสียได้ ดังนั้น บ้านไหนที่มีเครื่องปรับอากาศ ก็ช่วยทำให้รู้สึกเย็นขึ้น และยังทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้ แต่เราก็ต้องแลกมากับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เพราะเครื่องปรับอากาศเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลืองไฟมากเช่นเดียวกัน และต้องบำรุงรักษาไปตลอดการใช้งานเลยทีเดียว

แต่การใช้เครื่องปรับอากาศของเรานั้น จะต้องใช้งานอย่างถูกต้องด้วย เพราะไม่อย่างนั้น อาจจะทำให้เครื่องปรับอากาศของเรานั้น เสื่อมสภาพและพังก่อนอายุการใช้งานตามที่ควรจะเป็นได้ เราควรหมั่นสังเกตอาการของเครื่องปรับอากาศของเรา ว่ามีสิ่งใดผิดปกติบ้างหรือไม่ หรือมีความสกปรก มีฝุ่นเข้าไปสะสมมากจนทำให้เครื่องปรับอากาศไม่เย็นหรือไม่ ถ้าหากมีฝุ่นเป็นจำนวนมาก นั่นหมายความว่า เราจะต้องเรียกช่างแอร์มาตรวจสอบและทำความสะอาดโดยด่วน เพราะถ้ายังฝืนใช้งานอยู่ทั้งๆที่ แอร์ยังสกปรก นอกจากจะทำให้แอร์เสื่อมสภาพแล้ว ยังทำให้เปลืองไฟและทำให้สุขภาพของเราเสียได้อีกด้วย วันนี้ทางเราจะมาแนะนำให้คนที่ใช้งานเครื่องปรับอากาศเป็นประจำได้หมั่นสังเกตความผิดปกติของเครื่องปรับอากาศ ซึ่งจะต้องสังเกตความผิดปกติหรือสัญญาณที่บ่งบอกว่า แอรบ้านคุณกำลังจะพัง


สัญญาณแรกที่จะบอกว่า แอร์ของคุณกำลังจะพังนั่นก็คือ อาการแอร์ไม่เย็น ซึ่งเชื่อว่า หลายบ้านที่มีแอร์จะต้องเคยพบเจอปัญหานี้ หากตรวจเช็คดูแล้วว่าคอมเพรสเซอร์ทำงาน อาจเป็นเพราะแอร์สกปรก ต้องทำการล้างแอร์ทั้งคอยล์ร้อนและคอยล์เย็นโดยปั๊มน้ำแรงดันสูง หรือน้ำยาแอร์ขาด หรืออาจจะมีการอุดตันของระบบน้ำยาแอร์ ต้องทำการเปลี่ยนตัวฉีดน้ำยา , ตัวกรองความชื้น และแวคคั่มระบบเติมน้ำยาใหม่


ถ้าคอมเพรสเซอร์แอร์ไม่มีกำลังอัด อันนี้ถึงขั้นเปลี่ยนคอมใหม่ หรือถ้าคอมแอร์ทำงาน อาจมีสายไฟหลุดขาด ต้องทำการตรวจเช็ค หาจุดที่สายไฟขาดหรือหลุด ดังนั้น หากแอร์ไม่เย็น ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ แนะนำให้ตรวจโดยละเอียดโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ ก่อนที่แอร์จะพัง นอกจากนี้ อาการน้ำหยดที่คอยล์เย็น ก็เป็นสัญญาณที่ฟ้องว่า แอร์กำลังจะพัง ซึ่งก็อาจจะมีสาเหตุจากแอร์ที่มีความสกปรก ต้องทำการล้างแอร์ด้วยปั๊มน้ำแรงดันสูง หรือข้อต่อท่อน้ำทิ้งหลุด ต้องให้ช่างทำการตรวจเช็คหาจุดที่หลุดหรืออาจะเป็นที่ท่อน้ำทิ้งตัน ทำการฉีดไล่ด้วยปั๊มแรงดันสูง

หรือถ้ามีอาการเรื้อรังอาจเกิดจากมีการอุดตันที่ถาดน้ำทิ้งด้านหลังตัวแอร์ ทำการตัดคอยล์เย็นลงมาทำการถอดชิ้นส่วนและฉีดล้างให้ทั่ว สัญญาณต่อมาคือ อาการแอร์มีกลิ่นอับชื้น ก็เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ในห้องมีความชื้นสูง ตั้งโหมดลดความชื้นที่ตัวแอร์ หรือแอร์สกปรก ทำการล้างแอร์ด้วยปั๊มแรงดันสูง และอาจจะเกิดจากการเดินท่อน้ำทิ้งไปตรงกับท่อระบายน้ำ ต้องทำการเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ และอีกหนึ่งสัญญาณคือ อาการคอยล์ร้อนเสียงดัง ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นานๆ โโยไม่ได้รับการแก้ไขอาจจะทำให้แอร์พังได้ทันที ซึ่งสัญญาณเหล่านี้อาจจะมีสาเหตุจากมอเตอร์พัดลมเสีย ต้องทำการเปลี่ยนมอเตอร์ หรือใบพัดลมตีกับโครงแอร์ ทำการตรวจเช็คหาจุดที่กระทบกัน


ต้องตรวจเช็คว่า มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในตัวเครื่องหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การที่แอร์ของเรามีสัญญาณในลักษณะที่กล่าวมานั้น ควรหมั่นตรวจเช็คถึงต้นตอของปัญหาอย่างละเอียดเสียก่อน เพื่อที่จะได้ตรวจดูว่า อาการผิดปกตินี้เกิดจากอะไรเพื่อที่จะได้แก้ไขได้ถูกจุด หากปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจจะนำไปให้แอร์ของคุณพังได้อย่างแน่นอน


อย่างไรก็ตาม หากคุณอยากที่จะตรวจสอบหรือเช็คระบบแอร์ ล้างทำความสะอาดโดยช่างที่มีความเชี่ยวชาญ ที่การันตีด้วยประสบการณ์การทำงานมาอย่างยาวนาน ก็สามารถขอรายละเอียดได้จากทางเรามีบริการดูแลระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศภายในอาคาร ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะนั่นหมายถึงอากาศที่ดีที่เราสูดดมเข้าไป ถ้าหากเรามีระบบเครื่องปรับอากาศที่ไม่สะอาดแล้ว อาจจะทำให้เราเสียสุขภาพไปด้วย เพราะฉะนั้น ให้ทางได้ดูแลในเรื่องของระบบปรับอากาศของคุณให้มีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

7
การหายใจทางปากของเด็ก สามารถแก้ไขได้ด้วยเครื่องมือจัดฟันเด็ก EF LINE

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่ามีความสำคัญมาก ไม่แพ้กับปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายโดยรวม พ่อแม่ผู้ปกคองควรที่จะหมั่นสังเกตอาการ ถึงแม้ว่าเด็กจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีแล้วก็ตาม แต่การที่เด็กมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นการดูดนิ้ว หรือดูดขวดนม รวมไปถึงพฤติการหายใจทางปากด้วย แต่การที่เด็กนอนหายใจทางปาก ถือวาเป็นภาวะที่อันตราย เพราะโดยปกติ เด็กจะหายใจทางจมูกเป็นหลัก เมื่อมีภาวะใดที่หายใจทางจมูกไม่ได้ เด็กจึงต้องอ้าปากหายใจ ดังนั้น ภาวะที่ทำให้หายใจทางจมูกไม่ได้ อาจจะเกิดจากทางเดินหายใจอุดตัน จากน้ำมูกหรือเสมหะ ซึ่งภาวะการหายใจทางปากนั้น ส่งผลต่อสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กด้วย ซึ่งอาจจะทำให้ ฟันเก ฟันไม่สบกัน โครงหน้าสั้นได้ ซึ่งความผิดปกติของใบหน้านั้น สามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF LINE ซึ่งเครื่องมือ EF line สามารถใช้ได้ตั้งแต่อายุ 4 – 15 ปี

โดยเครื่องมือใน EF LINE มีความหลากหลายในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า รวมไปถึง สามารถแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุของเด็ก สำหรับวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องของภาวะหายใจทางปากของเด็ก ที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันในเด็กด้วยเครื่องมือ EF LINE ซึ่งเป้นการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันสำหรับเด็ก

ก่อนที่เราจะมาพูดถึงการแก้ไขปัญหาด้วยเรื่องมือ EF LINE เราจะมาพูดถึงตัวเครื่องมือการจัดฟันก่อน เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอจจะยังไม่รู้จักตัวเครื่องมือ EF LINE ที่เป็นเครื่องมือการจัดฟันสำหรับการจัดฟันในเด็ก โดย EF LINE นั้น เป็นเครื่องมือการจัดฟันที่มีลักษณะเป็นชิ้นยาง มีไว้เพื่อให้เด็กที่เข้ารับการจัดฟันในเด็กสวมใส่ ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องของพฤติกรรมต่างๆที่ส่งผลต่อฟัน

หากเรามานั่งพูดถึงสาเหตุของการสบฟันที่ผิดปกติในเด็กจำนวนมาก ที่เรามักพบเจอได้บ่อย ส่วนใหญ่จะเกิดจากนิสัยต่างๆ เช่น การดูดนิ้ว การกลืนที่ผิดปกติ หรือ การหายใจทางปากจากปัญหาทางเดินหายใจ อาจจะส่งผลให้ฟันหน้าบนยื่น หรือไม่สบฟันได้ในที่สุด ทันตแพทย์จะมีเครื่องมือรูปแบบต่างๆ ที่ช่วยแก้ไขนิสัยเหล่านี้ให้แก่เด็กได้นั่นเอง สำหรับปัญหาการหายใจทางปาก มักพบเมื่อมีการรบกวนระบบทางเดินหายใจ เช่น ภูมิแพ้ ต่อมทอลซินอักเสบ เป็นต้น มักพบว่าคนที่มีภาวะดังกล่าวจะมีอาการปากแห้งเสมอๆ นอนกรน ผลเสียที่เกิดขึ้นคือ ความสูงของใบหน้าด้านล่างมีค่ามากกว่าปกติ

การสบฟันหน้าเปิด ขากรรไกรบนแคบกว่าปกติ การแก้ไขต้องพิจารณาสาเหตุที่มีความจำเป็นต้องหายใจทางปากอยู่เพราะความเคยชิน ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อใส่เครื่องมือแก้ไข ถ้าเป็นในเด็ก ก็ใช้เครื่องมือ EF LINE ในการแก้ไขปัญหา สำหรับหลักการทำงานของเครื่องมือ EF line โดยปกติแล้วเด็กจะต้องสวมใส่เครื่องมือประมาณ 2 ชั่วโมง ในเวลากลางวัน และ 10 ชั่วโมง ในเวลาหลับตอนกลางคืน EF line จะทำการบังคับให้ขากรรไกรล่างอยู่ในตำแหน่งที่สัมพันธ์กับขากรรไกรบน เป็นผลให้เกิดการปรับตัวของกล้ามเนื้อต่างๆ โดยรอบ สู่สภาวะใหม่ที่สมดุล ซึ่งก็เป็นผลย้อนกลับไป เป็นการควบคุมตำแหน่งของกระดูกขากรรไกรที่เปลี่ยนไปให้สมดุลด้วย เป็นลักษณะเสริมซึ่งกันและกันในตัว

ดังนั้น จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่างของกระดูกขากรรไกรในทิศทางที่เหมาะสม ช่วยให้มีการปรับตำแหน่งของฟัน โดยมีเหตุมาจากแรงกระทำของกล้ามเนื้อต่าง ๆ โดยรอบได้ อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรที่จะสังเกตเวลาที่เด็กสวมใส่เครื่องมือ ควรให้เด็กส่อยู่นิ่งๆ ไม่เคี้ยวเล่น ไม่พูด ปากปิดสนิทเพื่อเป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อรอบปาก  ควรดื่มน้ำมากเพิ่มความชุ่มชื้นในปาก หรือถ้าหากมีอาการระคายเคืองบางตำเเหน่ง ใช้ยาทาเเผลในปาก ทาตรงบริเวณที่เจ็บเพื่อบรรเทาอาการได้ วันเเรกๆของการใส่อาจไม่สบายนัก แต่ร่างการจะปรับตัวยอมรับและดีขึ้นเอง

 หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านไหน สนใจให้บุตรหลานของท่าน เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยโปรแกรม EF Line ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำและปรึกษากับทางทันตแพทย์ของทางคลีนิกได้ เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก มีประสบการณ์ด้านทันตกรรมในเด็กมาอย่างยาวนาน จึงเป็นการการันตีได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพฟันที่ดี และมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นเด็กที่มีสุขภาพฟันที่ดีได้อย่างแน่นอน เพราะเราอยากเด็กๆทุกคน เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น

8
เที่ยววัดกรุงเทพ 17 วัดสวย จนโลกตะลึง

เราจะพาทุกคนไปเที่ยววัดในกรุงเทพ ไหว้พระ 17 วัด นอกจากได้บุญได้กุศลกลับบ้านแล้ว ยังได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศกับวัดสวยงามกลางกรุงเทพกันด้วย ทริปเที่ยวกรุงเทพครั้งนี้สายมูต้องห้ามพลาด ไหว้พระ 17 วัดเสริมสิริมงคล พร้อมเก็บรูปสวย ๆ กันได้เลย

1. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว

วัดในกรุงเทพที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของคนไทย “พระแก้วมรกต หรือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ
อย่าพลาดเข้าไปกราบไหว้สักการะและขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิต หลังจากไหว้พระขอพรก็เดินชมจิตรกรรมฝาผนัง และความวิจิตรบรรจงของความปราณีตของสถาปัตยกรรมของไทย หรือเข้าชมพิพิธภัณฑ์สมัยแรกในการก่อตั้งวัด ​​​​​และของโบราณเอาความรู้ติดตัวกลับบ้าน เดินขยับไปด้านในอีกนิดจะพบกับพระบรมมหาราชวังผ่านพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทที่แสนงดงามเหนือคำบรรยาย

จุดเด่น : มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นสมบัติของชาติอันทรงคุณค่า สถาปัตยกรรมงดงาม
ตำแหน่งที่ตั้ง: ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
วันเวลาเปิดทำการ: เปิดทุกวัน เวลา 8.30 - 15.30 น.

2. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ วัดโพธิ์

ไปสักการะพระพุทธไสยาสน์ และไหว้พระวิหารสี่ทิศ ซึ่งได้มีพระพุทธรูปสำคัญจากสี่หัวเมืองใหญ่สมัยรัชกาลที่ 1
นำมาประดิษฐานไว้ ทิศตะวันออกประดิษฐานพระพุทธมารวิชัย ทิศตะวันตก ประดิษฐานพระชินศรีมุนีนาถ ทิศเหนือประดิษฐานป่าลิไลย ทิศใต้ประดิษฐานพระชินราชวโรวาทธรรมจักร
มาเที่ยววัดในกรุงเทพวัดนี้วัดเดียวเหมือนได้ไปไหว้พระสี่ภาครวมมาประดิษฐานวัดเดียวเลย และแถมให้อีกอย่างสำหรับใครปวดเมื่อย วัดโพธิ์ต้นตำรับนวดไทย ใครได้นวดรับรองหายเมื่อยเป็นปลิดทิ้งแน่นอน

จุดเด่น: เป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญและมีชื่อเสียงระดับโลก มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สักการะเพื่อเป็นศิริมงคล
ตำแหน่งที่ตั้ง: 2 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
วันเวลาเปิดทำการ: เปิดทุกวัน 08.00 - 17.00 น.

3. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือ วัดแจ้ง

ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยากับตำนานสงครามยักษ์วัดโพธิ์กับวัดอรุณ เรารู้จักกันดีว่า วัดแจ้ง แลนด์มาร์ควัดสวย ๆ ในกรุงเทพวัดหนึ่งของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
มาแล้วต้องได้ขึ้นไปสักการะพระปรางค์วัดอรุณ สายฮิปสเตอร์ชอบไปถ่ายรูป เนื่องด้วยสีพาสเทลขององค์พระปรางค์ทำมาจากถ้วยชามเบญจรงค์และเปลือกหอย สวยโดดเด่นสะดุดตา สำคัญที่สุดอย่าลืมเข้าไปพระอุโบสถ ที่ประดิษฐานพระประธานชื่อว่า "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก" เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์
​​​​​​​ไหว้ขอพรท่านแล้วไปปล่อยนก ปล่อยปลา ก่อนเดินทางไปเที่ยววัดในกรุงเทพวัดต่อไปกันครับ

จุดเด่น: เป็นวัดที่มีชื่อเสียง สถาปัตยกรรมโดดเด่น มีทัศนียภาพที่สวยงาม ถ่ายรูปสวยมาก
ตำแหน่งที่ตั้ง: 34 ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
วันเวลาเปิดทำการ: เปิดทุกวัน 08.00 – 18.00 น.
​​​​​​​

4. วัดระฆังโฆสิตาราม หรือ วัดระฆัง

วัดเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานของ “พระประธานยิ้มรับฟ้า” แสนอ่อนโยนและมีเมตตา ภายในวัดมีตำหนักจันทน์หรือหอพระไตรปิฎกเป็นสถาปัตยกรรมสร้างในสมัยกรุงธนบุรี เดิมเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นพระราชวรินทร์ตำแหน่งเจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี อีกทั้งยังเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพุฒนาจารย์ (โต พรหมรังสี) มีรูปหล่อของสมเด็จท่านไว้ให้เราได้กราบไหว้ด้วย ​​​​​มีความเชื่อหนึ่งกล่าวไว้ว่า
​​​​​​​“ไหว้พระวัดระฆัง มีคนนิยมชื่นชม มีชื่อเสียงโด่งดังตลอดทั้งปี” ​​​​ดังนั้น ใครอยากชื่อเสียงโด่งดังมีคนชื่นชมต้องห้ามพลาดครับ

จุดเด่น : เป็นวัดที่มีประวัติอันยาวนานและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม
วันเวลาเปิดทำการ: เปิดทุกวัน 8.00 – 17.00 น.
​​​​​​​

5. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

อีกหนึ่งวัดสวย ๆ ในกรุงเทพ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม อีกชื่อเรียกว่า วัดหินอ่อน “Mable Temple” วัดบนเหรียญห้าบาทของคนไทย เป็นที่รู้จักดีของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ สร้างด้วยสถาปัตยกรรมโบราณ มีความวิจิตรงดงามประดับด้วยหินอ่อนที่ดีที่สุดจากอิตาลี ภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธชินราช จำลองมาจากจังหวัดพิษณุโลก
​​​​​​​นอกจากจะได้ไปทำบุญเสริมศิริมงคลแล้ว ยังมีมุมถ่ายรูปสวย ๆ หลายจุดที่ไม่ควรลืมเก็บรูปถ่ายไว้เป็นที่ระลึก
จุดเด่น: มีสถาปัตยกรรมไทยโบราณอันวิจิตรงดงาม ได้รับการยกย่องว่าเป็นวัดที่มีการวางแปลนแผนผังที่ดีที่สุดวัดหนึ่ง
ตำแหน่งที่ตั้ง: 69 ถนนพระรามที่ 5 แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ
วันเวลาเปิดทำการ: เปิดทุกวัน 6.00 – 17.00 น.
​​​​​​​

6. วัดชนะสงคราม

วัดในกรุงเทพที่เก่าแก่โบราณมากกว่าหลายร้อยปีตั้งแต่สมัยอยุธยา มีประวัติว่าในครั้งที่พระมหากษัตริย์จะออกทำศึก มีการทำพิธีเพื่อสวดทำน้ำพระพุทธมนต์ก่อนออกศึก ภายในโบสถ์ประดิษฐานพระประธานปางมารวิชัยขนาดใหญ่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าเป็นประธานของอาคาร ล้อมรอบด้วยพระพุทธรูปขนาดเล็กอีก 15 องค์ รวมเป็น 16 องค์ พระประธานมีพระนามว่า “พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฏฐ์ มเหธิศักดิ์ ปูชนียะชยันตะโคดม บรมศาสดาอนาวรญาณ” ​​​​​หรือชาวบ้านชอบเรียกว่า ‘หลวงพ่อปู่’ ใครอยากทำอะไรแล้วชนะก็มาอธิษฐานขอพรได้เลย

จุดเด่น: เป็นวัดที่มีความสำคัญและประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีความศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนต่างมากราบไหว้ขอพร
ตำแหน่งที่ตั้ง: 77 ถนนจักรพงษ์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ
วันเวลาเปิดทำการ: เปิดทุกวัน เวลา 08.00-16.00 น.
​​​​​​​

7. วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร หรือ วัดภูเขาทอง

เริ่มต้นที่พระอุโบสถของวัด ซึ่งประดิษฐาน พระปางสมาธิองค์ใหญ่ ก่อนขึ้นไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ บนพระบรมบรรพต จำลอง
ซึ่งเป็นภูเขาหนึ่งเดียวในกรุงเทพมหานคร แปะแผ่นทองมณฑปด้านบนพระบรมบรรพต ไหว้จุดสะดือเมือง เวียนเทียนรอบภูเขาทอง แล้วขึ้นไปชมวิวเมืองรับลมให้ชื่นใจ
​​​​​​​ระหว่างทางลงแวะกราบนมัสการหลวงพ่อโตก่อนกลับ

จุดเด่น: เป็นวัดที่มีจุดชมวิวสวยมากแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ถ่ายรูปสวยมาก
ตำแหน่งที่ตั้ง: 344 ถนนจักรพรรดิพงษ์ แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ
วันเวลาเปิดทำการ: เปิดทุกวัน เวลา 7.30 น. - 19.00 น.

8. วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร

เป็นอีกหนึ่งวัดในกรุงเทพที่ควรค่าแก่การมากราบไหว้ ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญของไทยซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักคือ พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา
สร้างโดยพระมหาธรรมราชาลิไทย สมัยกรุงสุโขทัยสมัยเดียวกับพระพุทธชินราช และทั้ง ๓ องค์เคยประดิษฐานอยู่ด้วยกัน ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก
​​​​​​​นอกจากนี้ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาทคู่บนศิลาแผ่นใหญ่สมัยสุโขทัย และพระไสยา (พระนอน) งดงามในแบบสมัยสุโขทัยอีกด้วย
จุดเด่น: สถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะไทยและจีนอันงดงาม มีภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ เป็นภาพปริศนาธรรมฝีมือขรัวอินโข่ง จิตรกรไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีพระพุทธรูปและโบราณวัตถุสำคัญๆ มากมาย

ตำแหน่งที่ตั้ง: 248 ถนนพระสุเมรุ แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ
วันเวลาเปิดทำการ: เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.
​​​​​​​

9. วัดมังกรกมลาวาส หรือ วัดเล่งเน่ยยี่

ปิดท้ายด้วยวัดสวย ๆ ในกรุงเทพที่เรารู้จักกันดี วัดเล่งเน่ยยี่ มีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบจีน หลาย ๆ คนคุ้นเคยกับการแก้ปีชง เป็นการไหว้พระแบบจีน
มีเทพเจ้าต่าง ๆ หลายองค์ เช่น เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา หรือ "ไท้ส่วย เอี๊ยะ" เทพเจ้าแห่งยาหรือหมอเทวดา "หั่วท้อเซียงซือกง" ​​​​​​และที่นิยมไหว้ขอพรมากคือ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ
​​​​​​​"ไฉ่ซิ้งเอี๊ยะ" เทพเจ้าเฮ่งเจีย พระเมตไตรยโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์กวนอิม "แป๊ะกง" และ "แป๊ะม่า" รวมเทพเจ้าในวัด จะมีทั้งหมด 58 องค์
จุดเด่น: เป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์จีนตามลัทธินิกายมหายานที่มีศิลปะงดงามและใหญ่ที่สุดในประเทศ
ตำแหน่งที่ตั้ง: 423 ถนนเจริญกรุง แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ
วันเวลาเปิดทำการ: เปิดทุกวัน เวลา 07.00-18.00 น.
​​​​​​​

10. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ความพิเศษคือ เป็นวัดที่มหาสีมาขนาดใหญ่ทำเป็นเสาศิลาจำหลักรูปสีมาธรรมจักรอยู่บนเสา ตั้งที่กำแพงวัดทั้ง 8 ทิศ จึงได้นามว่าวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม แปลว่าวัดซึ่งพระเจ้าแผ่นดินทรงสร้างและเป็นวัดซึ่งมีมหาสีมาตั้งอยู่ งดงามด้วยสถาปัตยกรรม ที่ผสมผสานความเป็นตะวันออกและตะวันตกเอาไว้ด้วยกัน โดยพระอุโบสถภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทย ภายในเป็นแบบยุโรปผสมไทย ตกแต่งแบบโกธิคเหมือนโบสถ์คริสต์งดงามมาก มีพระเจดีย์ขนาดใหญ่ทรงระฆังคว่ำ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ ลายเบญจรงค์ทั้งองค์ เหนือฐานพระเจดีย์มีซุ้มโดยรอบ รวม 14 ซุ้ม สวยงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
จุดเด่น: เป็นวัดที่มีการจัดวางแผนผังอย่างงดงามและประดับประดาอย่างวิจิตรบรรจง มีสถาปัตยกรรมงดงามมาก
ตำแหน่งที่ตั้ง: 2 ถนนเฟื่องนคร แขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพฯ
วันเวลาเปิดทำการ: เปิดทุกวัน เวลา 09.00-17.00 น.
​​​​​​​

11. วัดราชนัดดารามวรวิหาร

วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อเฉลิมพระเกียรติแก่พระราชนัดดา คือ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าหญิงโสมนัสวัฒนาวดี (ต่อมาเป็นพระอัครมเหสีองค์แรกของรัชกาลที่ 4) จึงทรงพระราชทานนามว่า วัดราชนัดดาราม เมื่อ ปี พ.ศ. 2386 มีความสวยงามโดดเด่นสะดุดตา ใครผ่านไปผ่านมาเป็นอดไม่ได้ต้องยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป ด้านในวัดประกอบไปด้วย พระอุโบสถ พระวิหาร และศาลาการเปรียญ โดยรัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโลหะปราสาทขึ้นแทนการสร้างเจดีย์ ความพิเศษ คือ เป็นโลหะปราสาทแห่งแรกของไทย สร้างเป็นอาคาร 7 ชั้น มียอดปราสาท 37 ยอด ยอดปราสาทชั้น 7 เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ กลางปราสาทมีบันไดวน 67 ขั้น สามารถเดินขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ด้าน บนได้ สถาปัตยกรรมภายในวัดมีความประณีตตามแบบศิลปะไทย พระอุโบสถมีช่อฟ้า ใบระกา หน้าบันลงรักปิดทอง ประดับด้วยกระจกงดงามมาก

จุดเด่น: โลหะปราสาทของวัดแห่งนี้เป็นโลหะปราสาทหลังที่ 3 ของโลก และเป็นโลหะปราสาทแห่งแรกของไทย
ตำแหน่งที่ตั้ง: 2 ถนนมหาไชย แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ
วันเวลาเปิดทำการ: เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.
​​​​​​​
12. วัดพิชัยญาติการาม

อีกหนึ่งวัดเก่าแก่ที่มีประวัติอันยาวนาน ตั้งอยู่บริเวณเชิงสะพานพุทธ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าย่านวงเวียนเล็ก เดิมเป็นวัดร้าง สร้างตั้งแต่สมัยใดไม่มีหลักฐานปรากฏชัดเจน แต่ได้ถูกปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค) ครั้งมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาศรีพิพัฒน์ราชโกษา ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ราว พ.ศ. 2372-2375 ความสวยงามของสถาปัตยกรรมของวัดแห่งนี้คือศิลปะแบบไทยผสมจีน ซึ่งเป็นแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่มีการค้าขายกับชาวจีน พระอุโบสถไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หน้าบันทั้งสองข้างเป็นลายมังกรประดับกระเบื้อง และลายดอกไม้ประดับกระเบื้อง องค์พระประธานในอุโบสถเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยรุ่นเดียวกับพระพุทธชินราช นามว่า “พระสิทธารถ” อัญเชิญมาจากวัดวิหารทอง จังหวัดพิษณุโลก หรือชาวบ้านเรียกขานว่า “หลวงพ่อสมปรารถนา” ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะอย่างมากเพราะเชื่อกันว่าท่านประทานพรให้สำเร็จสมปรารถนาทุกคน

จุดเด่น: สถาปัตยกรรมแบบไทยผสมจีนอันโดดเด่นสง่างาม ทรงคุณค่าทั้งด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม
ตำแหน่งที่ตั้ง: ซอยสมเด็จเจ้าพระยา 2 แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ
วันเวลาเปิดทำการ: เปิดทุกวัน ตลอดทั้งวัน
​​​​​​​

13. วัดโฝวกวงซัน

ไปยลความสวยงามสุดตื่นตาตื่นใจของวัดจีนในไทยกันบ้าง “วัดโฝวกวงซัน” หรือ “สถาบันพุทธศาสนา เถรวาท-มหายาน” เป็นวัดในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ก่อตั้งขึ้น ณ เมืองเกาสง ไต้หวัน เมื่อ พ.ศ. 2510 เพื่อเผยแผ่พุทธศาสนาให้แพร่หลาย ไปทั่วโลก โดยขยายสาขาไปสู่ประเทศต่าง ๆ กว่า 200 แห่งรวมทั้งประเทศไทย ภายในวัดประกอบไปด้วย วิหารกลาง วิหารพระอวโลกิเตศวร ห้องวิปัสสนา ห้องเรียนพุทธศาสนา หอพระไตรปิฎก(ห้องสมุด) หอฉัน หอระฆัง หอกลอง ห้องประชุม และเรือนรับรอง เมื่อเดินเข้าไปจะเห็นถึงความยิ่งใหญ่อลังการ ตระการตาด้วยสถาปัตยกรรมไต้หวันอันงดงาม มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเทพหลายองค์ให้ไปสักการะขอพร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “วิหารพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์” หรือบริเวณองค์เจ้าแม่กวนอิมสีทองอร่ามสูงเด่นสง่างาม ต้องไม่พลาดไปกราบให้ท่านประธานโชคลาภก่อนเดินทางกลับ
จุดเด่น: สถาปัตยกรรมอันงดงามตระการตา ยิ่งใหญ่อลังการ ถ่ายรูปสวย
ตำแหน่งที่ตั้ง: 55 ถนนคู้บอน แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ
วันเวลาเปิดทำการ: เปิดทุกวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 09.00-17.00 น.
​​​​​​​

14. วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร

วัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมเรียกว่า "วัดจอมทอง" หรือ "วัดเจ้าทอง" หรือ "วัดกองทอง" โดยพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงสถาปนาวัดจอมทองขึ้นใหม่ เนื่องจากเมื่อครั้งยกทัพไปสกัดทัพพม่าที่ด่านพระเจดีย์สามองค์ในปี พ.ศ. 2363 ทรงหยุดพักและทำพิธีเบิกโขลนทวารตามตำราพิชัยสงคราม พร้อมทรงอธิษฐานขอให้การทัพครั้งนี้ได้ชัยชนะ หลังจากทรงเลิกทัพกลับพระนคร จึงโปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดจอมทองใหม่ และถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงพระราชทานนามใหม่ว่า ‘วัดราชโอรส’ อันหมายถึงวัดที่พระราชโอรสทรงสถาปนา ความพิเศษคือ โบสถ์ วิหาร ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ โดยสถาปัตยกรรมและการตกแต่งต่าง ๆ เป็นแบบไทยผสมผสานศิลปะจีน ซึ่งวัดแห่งนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของศิลปกรรมแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 นั่นเอง
จุดเด่น: นับว่าเป็นวัดแรกที่ตกแต่งด้วยศิลปะจีนผสมผสานกับศิลปกรรมไทยได้อย่างงดงามจนเป็นที่เลื่องลือ
ตำแหน่งที่ตั้ง: 258 ซอยเอกชัย 4 ถนนเอกชัย แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพฯ
วันเวลาเปิดทำการ: เปิดทุกวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 09.00-17.00 น.
​​​​​​​

15. วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร

วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เป็นวัดโบราณเก่าแก่สร้างมาแต่ครั้งสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมชื่อว่า “วัดสามจีน” โดยมีเรื่องเล่าขานกันว่าชาวจีน 3 คน เป็นเพื่อนกันเป็นผู้สร้างวัดขึ้น โดยมีสถาปัตยกรรมในรูปทรงแบบจีน ศิลปะทรงพระราชนิยมในแผ่นดินรัชกาลที่ 3 ความพิเศษ คือ “พระมหามณฑป” ที่ประดิษฐาน "พระพุทธมหาสุวรรณปฎิมากร" หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หลวงพ่อทองคำ" อันโดดเด่นและงดงาม สร้างด้วยทองคำแท้ ได้รับการบันทึกลงในกินเนสบุ๊คว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยขนาดหน้าตั้งกว้าง 3.01 เมตร สูง 3.91 เมตร นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานคือ พระพุทธทศพลญาณ ผู้คนทั่วไปเรียกว่า "หลวงพ่อโต" หรือ "หลวงพ่อวัดสามจีน" พุทธศาสนิกชนนิยมมากราบไหว้ขอพรอยู่เสมอ รวมถึงศูนย์ประวัติศาสตร์ นิทรรศการ ที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับวัดและการกำเนิดพระพุทธรูปต่างๆ ให้เยี่ยมชมอีกด้วย

จุดเด่น: มีพระพุทธรูปทองคำที่ได้รับการบันทึกไว้ในกินเนสบุ๊คเมื่อปี พ.ศ.2534 ว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ตำแหน่งที่ตั้ง: 661 ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ
วันเวลาเปิดทำการ: เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.
​​​​​​​

16.วัดพระศรีมหาอุมาเทวี - กรุงเทพฯ

วัดฮินดูในกรุงเทพฯ ที่คนมากมายต่างเคารพบูชา มีเทพมากมายให้บูชา แต่ถ้าอยากขอเรื่องโชคลาภ ต้องขอพรกับ 'พระแม่ลักษมี' ผู้ขึ้นชื่อเรื่องโชคลาภมากที่สุด
ทริคมูให้รวย : สวดบทบูชาพระแม่ลักษมี บอกชื่อ-นามสกุล ตามด้วยถวายเครื่องสักการะ ได้แก่ ดอกบัว หรือดอกไม้อื่นสีชมพู หรือแดง จำนวน 8 ดอกตามพระปางทั้ง 8 ของแม่ลักษมี, ขนมรสมัน เช่น ขนมโมทกะ ขนมลาดู, ผลไม้รสอ่อน เช่น มะพร้าว แอปเปิ้ล สาลี่, น้ำแดง, น้ำอ้อย และธูปหอม

17.วัดอินทารามวรวิหาร

ชวนเปลี่ยนโหมดจาก Cafe Hopping ที่คุ้นเคยมาเป็น Temple Hopping เปิดประสบการณ์ใหม่กรุงเทพมหานคร กับ Hidden Temple ท่องวัดลับย่าน #บางยี่เรือ พบความ Amazing ในมุมมองใหม่แบบอินเตอร์แอ็กทีฟ ผ่านแสง สี และเสียงอันงดงามกับ 3 วัดแรกในย่านตลาดพลู ได้แก่ วัดอินทารามวรวิหาร ที่ถ่ายทอดเรื่องราวพระพุทธศาสนาในรูปแบบร่วมสมัยร่วมกับจิตรกรรมฝาผนังภายในวิหาร

📍การเดินทาง
🚄รถไฟฟ้า BTS สถานีโพธิ์นิมิตร / MRT สถานีท่าพระ
🚆รถไฟไทย สถานีรถไฟฟ้าตลาดพลู
🛥️เรือโดยสาร : ขึ้นจากท่าเรือบางหว้า ลงท่าเรือวัดอินทาราม / ขึ้นจากท่าเรือสะพานพุทธ ลงท่าเรือวัดอินทาราม

9
มอเตอร์เอ็กซ์โปร์ Nissan GT-R รุ่นต่อไปจะเป็นไฟฟ้า ใช้แบตเตอรี่ Solid-State พร้อมกำลังกว่า 1,300 แรงม้า!

Nissan GT-R รถในตำนานของนิสสัน รุ่นต่อไปเตรียมใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือ จะมาพร้อมแบตเตอรี่ Solid-State ซึ่งนิสสันระบุว่าจะช่วยให้ GT-R มีสมรรถนะที่เหนือกว่าเดิม

 
Nissan Hyper Force EV concept คือ GT-R รุ่นต่อไป?
 
เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว Nissan เปิดตัว Hyper Force EV concept หนึ่งในรถต้นแบบไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะเป็น GT-R รุ่นต่อไป
 
Nissan เคลมว่ารถสปอร์ตไฟฟ้าคันนี้จะเป็น “ไฮเปอร์ EV ที่เปลี่ยนเกม” ด้วยกำลังมากกว่า 1,300 แรงม้า (1,000 kW) หรือ 1 เมกะวัตต์ (MW) เลยทีเดียว เมื่อเทียบกับรถสปอร์ตไฟฟ้าอย่าง Porsche Taycan Turbo GT ปอร์เช่ไฟฟ้ารุ่นแรงสุด สามารถให้กำลังสูงสุดที่ 1,034 แรงม้า (PS) เท่านั้น
 
กำลังทั้งหมดของรถมาจากระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าใหม่ ที่จับคู่กับแบตเตอรี่โซลิดสเตท โดยดีไซน์ภายนอกของ GT-R รุ่นต่อไปนั้น Nissan พัฒนาร่วมกับทีม NISMO เพื่อเพิ่มแอดรไดนามิกส์ให้ดีที่สุด เราจะเห็นตัวรีดอากาศและดิฟฟิวเซอร์หลัง ซึ่งช่วยให้รถมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

 
แบตเตอรี่ Solid-State เหมาะกับรถสปอร์ตอย่างไร?
 
Ivan Espinosa รองประธานฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์ระดับโลกของ Nissan กล่าวกับ Autocar เกี่ยวกับคำถามถึงเรื่องการใช้แบตเตอรี่ Soild-State ว่า “คุณสามารถนำไปใช้กับรถสปอร์ตได้อย่างง่ายดาย”
 
เขาอธิบายต่อไปว่า แบตเตอรี่ Solid-State เหมาะกับรถสปอร์ตไฟฟ้าตรงที่ สามารถบรรจุพลังงานได้มาก โดยใช้พื้นที่เพียงครึ่งหนึ่งของแบตเตอรี่ทั่วไป

 
Nissan เผยว่า GT-R ไฟฟ้า จะใช้แบตเตอรี่ Solid-State
 
Espinosa เผยเป็นนัยว่า GT-R ไฟฟ้ารุ่นต่อไป จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวพร้อมแบตเตอรี่โซลิดสเตท ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แม้ว่า Nissan จะไม่ได้ประกาศเกี่ยวกับสปอร์ตคาร์ไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ แต่เราก็พอจะเห็น โลโก้ “GT-R” ในรถต้นแบบ Hyper Force EV อยู่ และรถคันนี้ยังมาพร้อมเทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อ  e-4ORCE ซึ่งช่วยเพิ่มการควบคุมบนสนามแข่งและทางที่คดเคี้ยว
 

GT-R ไฟฟ้า อาจเปิดตัวในปี 2028
 
สำหรับ GT-R R35 ก๊อตซิลล่ารุ่นล่าสุด ได้ทำตลาดมายาวนานกว่า 17 ปี และเลิกผลิตไปเมื่อไม่นานมานี้ อย่างไรก็ตาม GT-R รุ่นถัดไปที่เป็นไฟฟ้าอาจไม่ได้เปิดตัวเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากว่า Nissan จะเปิดตัว EV ที่ใช้แบตเตอรี่ soild-state ภายในปี 2028
 

แบตเตอรี่ Soild-State คือตัวเปลี่ยนเกม
 
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา Nissan โชว์ให้เราเห็นถึงไลน์การผลิตนำร่อง ของแบตเตอรี่ Soild-State ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกมเทคโนโลยีเลยทีเดียว เพราะตั้งใจให้มีความสามารถในการบรรจุพลังงานได้หนาแน่นกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วไปถึง 2 เท่า ซึ่งช่วยเพิ่มสมรรถนะของรถแถมลดเวลาชาร์จได้อีกด้วย
 
Espinosa กล่าวว่า “ในช่วงแรก ต้นทุนอาจจะสูง” แต่เขาคาดว่าต้นทุนจะลดลงตามเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น และกล่าวเสริมว่า “ด้วยความหนาแน่นของพลังงานที่มากกว่า คุณจะใช้วัสดุต่อแบตเตอรี่หนึ่งก้อนที่น้อยลง เพื่อส่งมอบพลังงานเท่ากัน ดังนั้นต้นทุนโดยรวมควรที่จะแข่งขันได้”
 
นอกจากนี้ Nissan ยังวางแผนที่จะใช้แบตเตอรี่ Solid-State ในรถหลากหลายรุ่น ซึ่งรวมถึง รถกระบะ ด้วย

10
Mitsubishi Triton 2024: เปิดราคารถกระบะใหม่ All-New Mitsubishi Triton Athlete เครื่องใหม่กำลัง 204 แรงม้า ในราคาเริ่มต้น 1,125,000 บาท

All-New Mitsubishi Triton Athlete เป็นรถกระบะใหม่ ที่เปิดตัวมาทั้งรูปแบบระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Hyper Power X2 ซึ่งมีระบบเทอร์โบสองสเตจ (Two-stage Turbocharger) ให้กำลังได้สูงสุดที่ 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร พร้อมระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า (Electric Power Steering: EPS) ช่วยให้ขับขี่คล่องตัว ควบคุมได้ดังใจ

รถใหม่ 2024 All-New Mitsubishi Triton Athlete ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มีการติดตั้งระบบ Super Select 4WD II อันเป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส โดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อฟูลไทม์ (Full-Time All Wheel Control) ซึ่งสามารถเปลี่ยนโหมดจากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ (4H) ได้ทันทีแม้ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง (Shift-on-the-Fly) แตกต่างอย่างเหนือกว่าด้วยระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เสริมความปลอดภัยให้ขับขี่คล่องตัวพร้อมตะลุยทุกสภาพอากาศและพื้นผิวถนนทุกรูปแบบด้วย 7 โหมดการขับขี่ ได้แก่ โหมดปกติ (Normal), โหมดประหยัดเชื้อเพลิงและรักษ์โลก (Eco), โหมดขับขี่บนทางลูกรังหรือทางฝุ่น (Gravel), โหมดขับขี่บนพื้นหิมะหรือขณะฝนตกผิวถนนเปียกลื่น (Snow), โหมดขับขี่ลุยโคลนหรือผิวทางที่เหนียวลื่น (Mud), โหมดขับขี่ตะลุยทรายหรือผิวทางที่ดินร่วน (Sand) และโหมดไต่หินหรือขับขี่บนผิวทางที่เป็นหินขรุขระ (Rock)


การออกแบบของ All-New Mitsubishi Triton Athlete อยู่ภายใต้แนวคิด BEAST MODE สำหรับผู้ชื่นชอบการผจญภัยพร้อมไลฟ์สไตล์แบบพรีเมียม ที่ผสานความปราดเปรียวสไตล์สปอร์ตสุดล้ำ  สะท้อนความบึกบึนและทรงพลังในแบบฉบับรถกระบะที่แท้จริง ตอกย้ำความเท่ด้วยตัวถังสีพิเศษ สีส้ม Yamabuki Orange Metallic ที่เป็นสีเฉพาะของรุ่น Athlete มอบความโดดเด่นที่ดึงดูดทุกสายตาบนท้องถนน ร่วมด้วยสีตัวถังอื่นๆ ที่โดนใจ ได้แก่ สีดำ Jet Black Mica สีเทา Graphite Grey และสีขาว White Diamond และภายในห้องโดยสารที่ยังคงดีไซน์สปอร์ตด้วยการตกแต่งทูโทนสีส้ม-ดำ


All-New Mitsubishi Triton Athlete ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีมิตซูบิชิ คอนเนค (MITSUBISHI  CONNECT) ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชัน “My MITSUBISHI CONNECT” เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการสั่งการตัวรถแบบไร้สายได้จากระยะไกล ใช้งานง่าย ทั้งการเปิดระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสาร การล็อกและปลดล็อกประตูรถ การเปิดไฟหน้า การกดแตรรถ และการค้นหาตำแหน่งที่อยู่ของตัวรถ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบข้อมูลสถานะตัวรถ เช่น ระดับน้ำมันคงเหลือและระยะทางที่วิ่งต่อได้ ความดันลมยาง มีฟังก์ชันความปลอดภัยอื่น ๆ อาทิ บริการช่วยเหลือบนถนน (Roadside Assistance)  การแจ้งอัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ การช่วยเหลือเมื่อรถถูกโจรกรรม (Stolen Vehicle Assistance) และอุ่นใจตลอดเส้นทางด้วยระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน SOS ผ่านตัวรถ (e-call)


All-New Mitsubishi Triton Athlete มาพร้อมระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ไดมอนด์ เซนส์ ทีมีระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ  (Diamond Sense with Adaptive Cruise Control) อันชาญฉลาด ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation System: FCM) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning: BSW) พร้อมระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Lane Change Assist: LCA) ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (Rear Cross Traffic Alert: RCTA)  ระบบปรับระดับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ (Auto High Beam: AHB) กล้องมองภาพรอบคัน (Multi Around Monitor: MAM)

ซึ่งเทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งหมดนี้ สามารถตรวจจับการเคลื่อนที่ของตัวรถและสภาพแวดล้อมด้วยเซ็นเซอร์และเรดาร์ที่ควบคุมด้วยระบบ AI ได้รอบคัน เพื่อความปลอดภัยแบบ 360 องศา ทั้งยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆ ที่ช่วยให้ขับขี่ได้ง่ายดายควบคุมรถได้ดังใจ อาทิ ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS) ระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) ระบบเสริมแรงเบรก (BA) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC) ระบบป้องกันการลื่นไถล (TCL) ระบบลิมิเต็ดสลิปที่เฟืองท้ายแบบควบคุมด้วยเบรก (Active LSD) เสริมด้วยถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง

All-New Mitsubishi Triton Athlete มาพร้อมกันด้วย 2 รุ่นย่อย มีราคาดังนี้

    All-New Mitsubishi Triton Athlete 2WD ราคา 1,125,000 บาท
    All-New Mitsubishi Triton Athlete 4WD ราคา 1,298,000 บาท

11
การลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ด้วยอาหารควบคุมน้ำหนัก

พูดถึงประเด็นการ ลดความอ้วน ลดหุ่น แล้วก็ความอ้วน ผู้หญิงจำนวนมากน่าจะเกลียดเพราะว่ามันทำให้พวกเราไม่สวย หน้าบานเป็นกระด้ง ไม่กล้าจะไปพบใครๆทั้งยังเป็นเหตุให้เสียความแน่ใจสำหรับในการแต่งตัวอีกด้วย แน่ๆล่ะจ้ะว่าใครๆก็ต้องการผอมบางในเวลาไม่กี่วัน คิดรวมทั้งเสมือนฝันไป แต่ว่าวันนี้คนใดกันว่าทำไม่ได้

จะมาชี้แนะการลดหุ่นด้วยการกินอย่างถูกแนวทาง เนื่องจากว่าการลดความอ้วนอย่างถูกแนวทาง จะมีผลให้น้ำหนักพวกเราไม่โยโย่ และไม่สุขภาพย่ำแย่จ้ะ ไม่อันตราย และไม่ทำให้ระบบเผาผลาญพังทลายแน่ๆ จะมีวิธีการอะไรบ้างไปดูกันเลย


แนวทางการ ลดความอ้วน

ลดความอ้วน คือ วิธีการทำให้น้ำหนักที่เกินกว่าธรรมดานั้นน้อยลงพอๆกับธรรมดา โดยการใช้พลังงานที่สะสมอยู่ในรูปของไขมันให้เหลือลดลงหรือหมดไป แล้วก็ต้นเหตุของการมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน การมีน้ำหนักที่เกินมาตรฐานหรือเรียกว่า “อ้วน” นั้นมีปัจจัยสำคัญดังต่อไปนี้

พันธุกรรม ภาวการณ์ทางร่างกาย ความไม่ปกติของระบบการเผาพลังงานและก็การดูดซึมของกินของร่างกายที่ขาดสมรรถนะ สภาวะทางจิต ความเคร่งเครียด ความไม่ค่อยสบายใจซึ่งจะส่งผลทำให้มีการทานอาหารมากขึ้น การบริโภคของกิน นับว่าเป็นสาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งของการมีน้ำหนักที่เกินมาตรฐาน สาเหตุจากการกินอาหารที่ไม่สมดุล วิธีการทำกิจกรรมที่ไม่ค่อยได้ใช้พลังงาน เป็นต้นเหตุหนึ่งของการมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน


รับประทานกล้วยมื้อเช้า

กล้วยนั้นอุดมไปด้วยวิตามินรวมทั้งธาตุต่างๆที่สำคัญรวมทั้งจำเป็นจะต้องต่อสถาพทางร่างกายจ้ะ ไม่ว่าจะเป็นธาตุเหล็ก ธาตุฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และก็วิตามินซี ซึ่งสารจำเป็นจะต้องกลุ่มนี้ล้วนเกิดผลดีต่อการลดความอ้วนทั้งหมดจ้ะ รวมทั้งจากการศึกษาเล่าเรียนข้อมูลที่ได้ชี้แนะการกินกล้วยให้ซูบผอมและก็มีคุณภาพสูงที่สุด


อกไก่

การกินอกไก่ เพื่อ ลดหุ่น หลายคนน่าจะเคยชินหรือได้ยินกันมาบ้าง เนื่องจากเป็นแนวทางที่นิยมใช้เยอะที่สุด ปัจจัยที่จำเป็นต้องเลือกอกไก่ เนื่องจากตรงส่วนอกไก่นั้นมีไขมันน้อย ให้พลังงานต่ำ ทั้งยังยังย่อยง่ายด้วย ซึ่งดีต่อคนอยากลดความอ้วน รวมทั้งในอกไก่ยังประกอบไปด้วยสารอาหารมากไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนที่ดีอย่างมากสำหรับคนสร้างกล้ามด้วยเหตุว่าอกไก่จะช่วยสร้างเสริมกล้ามแล้วก็ซ่อมส่วนที่ผุกร่อนได้อย่างดีเยี่ยม


ผักสีเขียว

สำหรับเพื่อการ ลดหุ่น นั้น เว้นเสียแต่ผู้หญิงควรต้องเอาใจใส่ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการงดเว้นแป้ง งดเว้นอาหารหวานแล้ว หัวข้อการรับประทานผักก็เป็นสิ่งที่ห้ามให้ขาดเลยเด็ดขาดสำหรับเพื่อการลดหุ่นเลยจ๊า ด้วยเหตุว่าการกินผักมากมายๆนอกเหนือจากการที่จะช่วยทำให้ถ่ายชำนาญขึ้น ผักบางจำพวกยังมีแคลอรีต่ำ ซึ่งช่วยทำให้การลดความอ้วนของคุณง่ายมากยิ่งขึ้นอีกต่างหาก


ธัญพืชเป็นของว่าง

นอกเหนือจากการรับประทานผักหรืออกไก่แล้ว การเลือกรับประทานเมล็ดพืชเป็นของว่าง ก็จะสามารถช่วย ลดคอเลสเตอรอล ลดหุ่น สามารถหาทานกล้วยๆไม่ยุ่งยาก แถมอิ่มสบายท้องรวมทั้งยังช่วยทำให้ผิวพรรณดียิ่งขึ้น ช่วยสำหรับเพื่อการถ่าย ทำให้มีรูปร่างที่ดีอีกด้วย ซึ่งพูดได้ว่าทุกคนจำเป็นต้องรู้จักรวมทั้งหาทานง่ายอย่างยิ่งๆ

12
บ้านติดรถไฟฟ้า โกลเด้น ทาวน์ ๒ รามอินทรา-วงแหวน (Golden Town 2 Ranintra - Wongwaen)
เริ่มต้น 2.69 ลบ. 

โกลเด้น ทาวน์ ๒ รามอินทรา-วงแหวน (Golden Town 2 Ranintra - Wongwaen)
ทาวน์โฮมฟังก์ชั่นครบครัน พร้อมอลังการสโมสร + โรงหนังส่วนตัว* ทำเลดี หลังแฟชั่นฯ ติดถนนใหญ่ + ใกล้รถไฟฟ้า ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของทุกคนในครอบครัว มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ         โกลเด้น ทาวน์ ๒ รามอินทรา-วงแหวน (Golden Town 2 Ranintra - Wongwaen)
 เจ้าของโครงการ    เฟรเซอร์ส
 แบรนด์ย่อย         โกลเด้น ทาวน์
 ราคา                 เริ่มต้น 2.69 ลบ.

 ประเภทบ้าน         ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล       บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนบ้าน          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 แบบบ้านทั้งหมด     3 แบบ
  เนื้อที่บ้าน          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย        ตั้งแต่ 96 ถึง 117 ตร.ม.
 จำนวนชั้น           2 ชั้น
 หน้ากว้าง           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน     ตั้งแต่ 3 ถึง 4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ     ตั้งแแต่ 1 ถึง 2 คัน
 สาธารณูปโภค       สวนสาธารณะ, คลับเฮาส์, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, อื่นๆ (ร้านซักรีด), Keycard System, สนามเด็กเล่น

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน        แจ้งวัฒนะ, หลักสี่, ดอนเมือง, บางเขน
 ที่ตั้ง       224 ถนนกาญจนาภิเษก แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ 10220

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีชมพู, สถานี(แคราย - มีนบุรี)(คู้บอน)
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีชมพู, สถานี(แคราย - มีนบุรี)(รามอินทรา 83)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
แฟชั่น ไอส์แลนด์
เดอะ พรอมมานาด
โลตัส
แม็คแวลู่
บิ๊กซี
โรงเรียนสาธิตพัฒนา
โรงเรียนโสมาภาพัฒนา.
โรงเรียนโชคชัยหทัยราษฏร์
โรงพยาบาลสินแพทย์
โรงพยาบาลพญาไท

13
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: แมงป่องต่อย

ให้รีบนำเหล็กในออก ใช้น้ำแข็งหรือน้ำเย็นประคบ ให้ยาแก้ปวด-พาราเซตามอล*

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีอาการปวดแผลมาก หรือกินยาแก้ปวดไม่ได้ผล

หมายเหตุ แมงป่องที่มีพิษร้ายแรง (ยังไม่พบในบ้านเรา) จะมีพิษต่อประสาท ทำให้กล้ามเนื้อกระตุก ชัก อาเจียน น้ำลายฟูมปาก หยุดหายใจ ตายได้ ต้องฉีดเซรุ่มแก้พิษ ถ้าสงสัยถูกแมงป่องมีพิษต่อย ให้ทำการปฐมพยาบาลแบบเดียวกับถูกงูกัด


การปฐมพยาบาลผู้ที่ถูกงูกัด

การปฐมพยาบาลเป็นสิ่งที่ต้องกระทำหลังถูกงูกัดทันทีก่อนที่จะนำส่งโรงพยาบาล มักจะกระทำโดยผู้ป่วยเอง ญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูง คำแนะนำในการให้การปฐมพยาบาลผู้ที่ถูกงูกัด สำหรับบุคคลเหล่านี้ ได้แก่

1. ใช้เชือก ผ้า หรือสายยางรัดแขนหรือขา ระหว่างแผลงูกัดกับหัวใจ (เหนือรอยเขี้ยว 2-4 นิ้วฟุต) เพื่อป้องกันมิให้พิษงูถูกดูดซึมเข้าร่างกายโดยเร็ว ให้รัดแน่นพอที่จะหยุดการไหลเวียนของเลือดดำ ควรคลายเชือกทุก ๆ 15 นาที โดยคลายนานครั้งละ 30-60 วินาที จนกว่าจะถึงสถานพยาบาล

2. เคลื่อนไหวแขนหรือขาส่วนที่ถูกงูกัดให้น้อยที่สุด ควรจัดตำแหน่งของส่วนที่ถูกงูกัดให้อยู่ในระดับต่ำกว่าหัวใจ (เช่น ห้อยเท้าหรือมือส่วนที่ถูกงูกัดลงต่ำ) ระหว่างเดินทางไปยังสถานพยาบาล อย่าให้ผู้ป่วยเดิน ควรให้ผู้ป่วยนั่งรถหรือแคร่หาม ทั้งนี้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของพิษงู

3. ควรดูให้รู้แน่ว่าเป็นงูอะไร แต่ถ้าไม่แน่ใจควรบอกให้คนอื่นที่อยู่ในที่เกิดเหตุช่วยตีงูให้ตาย และนำไปยังสถานพยาบาลด้วย (อย่าตีให้เละจนจำลักษณะไม่ได้)

4. อย่าให้ผู้ป่วยดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาดองเหล้า หรือกินยากระตุ้นประสาท รวมทั้งชา กาแฟ

5. อย่าใช้ไฟหรือเหล็กร้อนจี้ที่แผลงูกัด และอย่าใช้มีดกรีดแผลเป็นอันขาด เพราะอาจทำให้เลือดออกมาก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าถูกงูที่มีพิษต่อเลือดกัด) หรืออาจตัดถูกเส้นเอ็นหรือเส้นประสาท รวมทั้งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้

6. ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจ (จากงูที่มีพิษต่อประสาท) ให้ทำการเป่าปากช่วยหายใจไปตลอดทางจนกว่าจะถึงสถานพยาบาลที่ใกล้บ้านที่สุด

7. สำหรับบาดแผลให้ใช้ยาฆ่าเชื้อทำความสะอาดบาดแผล ถ้ารู้สึกปวดแผลให้กินพาราเซตามอล ห้ามให้แอสไพริน เพราะอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้   ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา  จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร  ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ     

14
จัดฟันบางนา: สีของอาหารที่รับประทาน ส่งผลต่อเครื่องมือการจัดฟันหรือไม่ ?

การจัดฟันแบบใส เป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะมีการนำนวัตกรรมใหม่เข้ามาใช้ในการรักษาตั้งแต่ขั้นตอนประเมินช่องปากเบื้องต้นโดยทันตแพทย์ จนไปถึงการวางแผนการรักษา ซึ่งการจัดฟันแบบใสนั้น มีประสิทธิภาพในการเรียงตัวของฟันมากและสามารถทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติโดยไม่มีอุปสรรค โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เข้ารับการจัดฟันจะมีอุปสรรคในการรับประทานอาหาร


เพราะเนื่องจากเครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่น ที่ติดอยู่ภายในช่องปากทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันต้องเลือกรับประทานอาหารมากขึ้นและไม่ควรรับประทานอาหารที่มีความแข็ง เพราะจะส่งผลทำให้เครื่องมือการจัดฟันหลุดขณะรับประทานอาหาร นอกจากนี้ในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟันก็มีความลำบากเพราะอาจจะแปรงฟันได้ไม่ทั่วถึง แต่ในส่วนของผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบใสก็สามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ


ทั้งยัง ช่วยส่งเสริมทำให้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้ ในเรื่องของการรับประทานอาหารนั้นแน่นอนว่าผู้เข้ารับการจัดฟัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันในรูปแบบใด ต้องคำนึงถึงอาหารที่เรารับประทานเข้าไปด้วย แต่ในการรับประทานอาหารสำหรับผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบใส หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วขณะรับประทานอาหารจะต้องถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้ แต่ก็ต้องระมัดระวังด้วยเช่นเดียวกัน เพราะสีของอาหารอาจจะส่งผลทำให้เครื่องมือการจัดฟันแบบใสเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองได้

สำหรับใครที่มีพฤติกรรมการรับประทานกาแฟระหว่างวันและอาจจะเผลอลืมถอดเครื่องมือการจัดฟันแบบใสออกก็จะทำให้คราบกาแฟติดอยู่บนเครื่องมือการจัดฟัน ทำให้เครื่องมือเหลืองได้ สำหรับใครที่ไม่ได้รับประทานกาแฟก็อาจจะมีข้อสงสัยว่าแล้วอาหารประเภทอื่นที่มีสีแล้วเรารับประทานเข้าไปจะส่งผลต่อเครื่องมือการจัดฟันหรือไม่

ซึ่งวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการรับประทานอาหารส่งผลต่อเครื่องมือการจัดฟันอย่างไรบ้างและทำให้มีสีที่เปลี่ยนไปหรือไม่  ในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟันแบบใส ทันตแพทย์จะแนะนำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันถอดเครื่องมือออกก่อนรับประทานอาหาร เพราะจะทำให้เครื่องมือมีสีใสและสวยงามเหมือนเดิม แต่ถ้าหากใครเผลอรับประทานอาหารเครื่องดื่มขณะสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันก็อาจจะทำให้เครื่องมือการจัดฟันมีสีที่เปลี่ยนไป ซึ่งแน่นอนว่าคำถามที่หลายคนสงสัยว่าการรับประทานอาหารที่มีสีส่งผลต่อเครื่องมือการจัดฟันอย่างไร ต้องบอกเลยว่าถ้าหากเรารับประทานอาหารที่มีสีและทำความสะอาดได้ไม่ดี

แน่นอนว่าจะส่งผลต่อเครื่องมือการจัดฟันอย่างแน่นอน เพราะโอกาสที่สิ่งที่เรารับประทานเข้าไปจะติดอยู่ในเครื่องมือการจัดฟันได้ถือว่าสูงมากเลยทีเดียว ถ้าหากใครชอบรับประทานกาแฟขณะสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันก็ทำให้สีของเครื่องมือเปลี่ยนไป และถ้าหากสวมใส่เครื่องมือก็จะทำให้ฟันของเรามีสีเหลืองเช่นเดียวกัน ดังนั้น ผู้เข้ารับการจัดฟันควรปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ ควรถอดเครื่องมือก่อนรับประทานอาหารและขณะแปรงฟัน เพราะนอกจากจะเป็นการดูแลรักษาความสะอาดของเครื่องมือการจัดฟันแล้ว ยังช่วยลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายต่อเครื่องมือการจัดฟันได้ อย่างไรก็ตาม หากเราดูแลรักษาความสะอาดอย่างผิดวิธี ก็อาจจะทำให้เครื่องมือการจัดฟันมีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้เช่นเดียวกัน


ดังนั้นการดูแลเครื่องมือการจัดฟันแบบใส ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องทำความสะอาดอย่างถูกวิธีและปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใสสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ ที่มีความเชี่ยวชาญและคลินิกของเรายังได้รับการรับรองขั้นสูงสุดจาก Invisalign ให้สามารถทำการจัดฟันได้ จึงทำให้ผู้เข้ารับการรักษามั่นใจได้ว่า ถ้าหากเข้ารับบริการจากทางคลินิกก็จะมีความปลอดภัย มีความน่าเชื่อถือ ทำให้คุณกลับมามีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติได้อีกครั้ง

15
บริการด้านอาหาร: ข้าวผัดสับปะรด คุณค่าทางสารอาหารเต็มๆ

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีคุณภาพ สามารถช่วยป้องกันโรคได้ หรือที่เราเรียกว่า “อาหารบำบัด” แต่ในขณะเดียวกันหากรับประทานอาหารที่ไม่มีคุณภาพ จะก่อให้เกิดโรคตามมาได้ จะเห็นได้ว่า คนไทยจำนวนมากป่วยเป็นโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคไต โรคหัวใจ ซึ่งโรคดังกล่าว ล้วนมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ผิด และรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ดังนั้น หากเรารับประทานอาหารให้ถูกต้องและมีประโยชน์ ก็จะช่วยป้องกันโรคได้และยังรักษาโรคได้อีกด้วย นี่จึงเป็นที่มาที่ทำให้หลายคนหันมาใส่ใจในเรื่องของอาหารการกินมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนที่รักสุขภาพที่ใส่ใจในเรื่องของอาหารที่จะรับประทานเข้าไปในแต่ละวัน บางคนมีการนับจำนวนแคลอรี่ บางคนใช้วิธีการปรุงอาหารด้วยตนเอง เพื่อให้ได้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ
บางคนเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารคลีนต่างๆ เพื่อแลกกับการมีสุขภาพร่างกายที่ดี ซึ่งวันนี้ทางเราจะมาแนะนำเมนูอาหารที่ทำมาจากผลไม้อย่างสับปะรด ซึ่งถือว่าเป็นผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน โดยเมนูดังกล่าวนั่นก็คือ ข้าวผัดสับปะรด เป็นเมนูเพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าทางสารอาหาร แถมยังเป็นเมนูอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกายได้ด้วย

  สำหรับวัตถุดิบในเมนูนี้ก็คือ ไข่เป็ด น้ำมันพืช เนื้อไก่หั่นเป็นชิ้นบาง กุ้งสด กระเทียมสับ ข้าวหอมมะลิหุงสุก หอมใหญ่หั่นเต๋า ถั่วลันเตาและแครอทหั่นเป็นชิ้นเล็ก เนื้อสับปะรดหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ซอสปรุงอาหาร ผงกะหรี่ ลูกเกด เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบสุก ต้นหอมและผักชีซอย และแตงกวา โดยขั้นตอนก็เริ่มจากการทำซอสปรุงอาหาร โดยการใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อ คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย
นำขึ้นตั้งไฟกลาง เคี่ยวจนเดือดแล้วลดไฟลง ใช้ไฟอ่อนเคี่ยวต่ออีกประมาณ 5 นาที ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักไว้จนเย็น ต่อมาก็มาถึงวิธีการทำข้าวผัด โดยใส่น้ำมันพืชลงในกระทะนำขึ้นตั้งไฟ พอร้อนใส่ไข่เป็ดลงไปตีพอแตก ใส่เนื้อไก่ลงไปผัดจนสุก ตามด้วยกุ้ง พอกุ้งเริ่มเปลี่ยนสีให้ใส่กระเทียมลงไปผัดจนเข้ากันอีกครั้ง ใส่ข้าว หอมใหญ่ ผงกระหรี่ ถั่ว แครอท และสับปะรด ใช้ไฟแรงผัดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันและข้าวไม่เป็นก้อน

 ปรุงรสด้วยซอสปรุงอาหารที่เราทำเตรียมไว้ ผัดให้เข้ากัน ใส่ลูกเกดและเม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงไปผัดให้เข้ากันอีกครั้ง โรยด้วยต้นหอมซอย ผักชีซอยและแตงกวา เพียงเท่านี้เราก็จะได้เมนูเพื่อสุขภาพที่รสชาติอร่อย และยังได้ประโยชน์เต็มๆคำจากสับปะรด เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ

 จำนวนมาก ซึ่งได้แก่ คาร์โบไฮเดรต วิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 กรดโฟลิก ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุแมงกานีส ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และธาตุสังกะสีเป็นต้น ช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆในระบบทางเดินอาหาร ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย
ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยลดคอแห้ง แก้กระหายน้ำ ช่วยควบคุมความดันโลหิตสูง ลดเนื้อเยื่อแผลอักเสบ แก้หลอดลมอักเสบ นอกจากนี้ สับปะรด ยังมีเอนไซม์ที่ช่วยจัดการกับโปรตีนที่เรียกว่า บรอมีเลน ซึ่งพบได้ในแกนและเหง้าของสับปะรดนั่นเอง คุณสมบัติพิเศษของสารชนิดนี้ก็คือ ช่วยสลายลิ่มเลือดและสมานแผล ช่วยลดการจับตัวของเกล็ดเลือด และที่สำคัญที่สุดช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย เหมาะสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนักเป็นอย่างดีเลยทีเดียว นอกจากจะช่วยบำรุงร่างกาย และป้องกันการเกิดโรคต่างๆแล้ว ยังเป้นเมนูอาหารที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร และยังช่วยลดน้ำหนักให้กับสาวๆได้อีกด้วย ถือว่าเป็นเมนูที่มีสารพัดประโยชน์เลยทีเดียว

  อย่างไรก็ตาม หลักการรับประทานอาหารที่ดี ก็คือ การเลือกรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ซึ่งทางเราเน้นย้ำมาตลอดในเรื่องของวิธีการรับประทานอาหารให้ได้ประดยชน์มากที่สุด เพราะนอกจากร่างกายจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว ยังสามารถช่วยบำบัดโรค บำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือเราต้องหมั่นออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง และดื่มน้ำให้มากๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้สดชื่น สามารถรับมือกับชีวิตในแต่ละวันได้อย่างเต็มที่



หน้า: [1] 2 3 ... 21